15 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในเวียดนาม VIETNAM
เที่ยวเวียดนาม (Vietnam) หรือ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ดินแดนเอเชียในคราบอารยธรรมสไตล์ยุโรป เมืองแห่งแลนด์มาร์คสุดฮิต สำหรับนักเดินทางสายอินเทรนด์ สายถ่ายรูป สายกิน ห้ามพลาดเลยนะคะ! รับรองว่าฟินกันตั้งแต่เวียดนามเหนือยันเวียดนามใต้แน่นอนค่ะ ทริปนี้เกินคาด บอกเล้ย! เตรียมจองตั๋วเครื่องบินกันเลย ซินจ่าวว ~
บาน่าฮิลล์เป็นเมืองเล็กๆ สไตล์ยุโรปที่ถูกย่อขนาดมาไว้บนเขาในประเทศเวียดนาม ที่นี่อยู่ห่างจากตัวเมืองดานังประมาณ 25 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนความสูง 1,487 เมตร การจะเดินทางขึ้นไปที่บาน่าฮิลล์นั้นต้องโดยสารเคเบิ้ลคาร์ขึ้นไปเท่านั้น
ซึ่งขอบอกเลยว่าการเดินทางครั้งนี้ถือว่าเป็นการโดยสารเคเบิ้ลคาร์ที่ยาวที่สุดในโลกอีกด้วย ระยะเดินทางโดยสายเคเบิ้ลนี้มีความยาวถึง 5,042 เมตร และสูงจากพื้นดินถึง 1,291 เมตร นับว่าเป็นการเดินทางที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างแน่นอนค่ะ ไม่ว่าจะเป็นวิวทิวทัศน์รอบด้าน หรือจะเป็นประสบการณ์ความหวาดเสียวจากระยะทางและความสูงของการผจญภัยครั้งนี้! เท่านั้นยังไม่พอค่ะ ด้านบนบาน่าฮิลล์นั้นตอบโจทย์ Instagram Lover สุดๆ ไปเลยค่า งั้นเราไปเริ่มเช็คอินกันที่ละจุดกันเล้ย~
เริ่มต้นกันที่ หมู่บ้านชาวฝรั่งเศส ส่วนนี้จะรวมสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างแบบฝรั่งเศสโบราณไม่ว่าจะเป็น จัตุรัส, โบสถ์, เมือง, หมู่บ้าน, โรงแรม ลองแวะไปยืนโพสท่าสวยๆ ชิคๆ สักรูปให้เข้ากับบรรยากาศเหมือนกับไปเดินเล่นที่หมู่บ้านฝรั่งเศสราวกับย้อนอดีต และสัมผัสกับความโรแมนติกของฝรั่งเศสโบราณ
เมื่อเดินเที่ยวหมู่บ้านกันเสร็จแล้วก็เปลี่ยนบรรยากาศมาเดินเล่นในสวนดอกไม้สุดโรแมนติก เหมือนได้หลุดเข้าไปเดินเล่นอยู่ในบทกวีอย่าง Le Jardin D’Amour สวนดอกไม้ที่แบ่งออกเป็น 9 โซน
แบ่งเป็นเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจพร้อมกับตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนกันอีกด้วย เมื่อเดินเข้ามาก็จะเจอกับโซนแรกคือ Legend Garden หรือว่า สวนดอกไม้แห่งตำนาน ส่วนนี้จะเป็นการเล่าเรื่องราวที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Olympia Peak ตกแต่งด้วยรูปปั้นจากเทพนิยายในกับอยู่ในเอเธนส์อียิปต์ ถ่ายรูปกันหน่ำใจแล้วก็เดินมาโซนที่สอง
ชื่อว่า Suoi Mo Garden สวนนี้จะตั้งอยู่บนพื้นที่สูงที่ถูกยกระดับขึ้นมา ส่วนนี้จะเป็นสวนฤดูใบไม้ผลิจะเน้นเป็นดอกไม้ที่มีสีม่วงและสีเหลืองเป็นส่วนใหญ่ ถัดไปจะเป็น Memory Garden หรือ สวนแห่งความทรงจำ ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ตกแต่งไปด้วยรูปปั้น 4 รูป พร้อมกับอ่างน้ำด้านหน้า และมีการปล่อยน้ำไหลออกมาจากโถรูปปั้นเพื่อแสดงถึงการหลั่งไหลของความทรงจำ ซึ่งแบ่งเป็นตามฤดูกาล จากความทรงจำไปถึงความคิด ถัดมาคือ Thought Garden หรือ สวนแห่งความคิด จะเป็นอาคารที่อยู่ในสวนซึ่งตกแต่งด้วยทราย และภายในจะมีกระดานหมากรุก เพื่อสื่อถึงการใช้ความคิดในรูปแบบสไตล์ยุโรป
เมื่อเดินออกมาจากห้วงความคิดแล้ว ก็จะเจอกับ Love Garden สวนแห่งรัก ด้านในจะถูกตกแต่งด้วย ลักษณะวัฒนธรรมสไตล์ฝรั่งเศสให้ดูมีชีวิตชีวา แล้วไปกันต่อที่สรวงสวรรค์อย่าง Heaven Garden สวนสวรรค์ เรื่องราวของสวนนี้เป็นการเล่าถึงจุดตัดระหว่างสวรรค์และพื้นดิน ซึ่งทีเด็ดในสวนนี้ก็คือ ดอกระฆัง ที่เป็น Signature ของ Bana Hills นั่นเองจ้า มาต่อกันด้วยโซนที่แปด นั่นก็คือ Holy Garden หรือ สวนศักดิ์สิทธิ์ ด้านในจะมีรูปปั้นของเทพแห่งความรักที่คอยอวยพร และเป็นพยานให้กับคำสาบานของคู่รักทั้งหลาย แหม~ แบบนี้คงต้องพกไปสักคนแล้วละค่ะ ฮ่าๆ
มาถึงอีกหนึ่งสวนที่ชวนให้น่าค้นหาแล้วละค่ะ ที่นี่ก็คือ Secret Garden หรือ สวนแห่งความลับ จะเป็นโซนที่เป็นเขาวงกต ให้ทุกคนได้ออกไปตามล่าหาความลับนั่นเอง เอ๊าๆๆ… เดินวนไปวนมาดันเจอแต่สวนองุ่นซะงั้น Grape Garden หรือ สวนองุ่น ซึ่งความลับของที่นี่ก็อยู่ตรงที่เขามีห้องเก็บไวน์ที่มีอายุราวๆ 100 กว่าปีมาแล้วนี่เองค่า ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอเข้าไปสำรวจห้องเก็บไวน์เก่าแก่ซะหน่อยแล้ว
ทีนี่คือ DEBAY WINE CELLAR ออกแบบโดยสถาปนิกฝรั่งเศส ถูกสร้างขึ้นให้เป็นห้องเก็บไวน์ในปี ค.ศ. 1923 เพราะการออกแบบให้ขุดลงไปลึกเกือบ 100 เมตร จึงทำให้เป็นห้องเก็บไวน์ที่ไม่ซ้ำใครเลยจริงๆ ไวน์ที่นี่จะถูกเก็บรักษาไว้ในระดับอุณหภูมิ 16 องศาถึง 20 สำหรับใครที่สนใจเรื่องการดื่มไวน์ ที่นี่มีไวน์รสดีชั้นเยี่ยมรออยู่นะคะ
นอกจากการเดินเที่ยวและถ่ายรูปแล้ว ที่บาน่าฮิลล์ยังมีกิจกรรมให้ได้ลองทำอีกมากมาย เช่น การนั่งรถกระเช้าไฟฟ้า ที่จะลากขึ้นเขาไปส่งเราที่สวน Le Jardin D’Amour , Debay Wine Cellar และ เจดีย์ Linh Ung
นอกจากนั้นยังมีสวนสนุก Fantasy Park ที่รวมรวบความบันเทิงมาเสิร์ฟให้กับเด็กๆ เหล่าวัยรุ่นกันแบบมันส์สุดๆ ไปเลย ทั้งเครื่องเล่นหวาดเสียวอย่าง Free Fall Tower หรือจะเป็นเครื่องเล่นแบบ 3D, 4D, 5D แบบทันสมัย และห้ามพลาดกับ Alpine Coaster เป็นเครื่องเล่นที่ฮิตสุดๆ สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาบาน่าฮิลล์ เปิดให้เล่นตั้งแต่เวลา 8:00 – 17:00 น แถมยังฟรีอีกด้วยจ้า!
สำหรับใครที่เป็นสายเข้าวัดเข้าวา บนนี้ก็มีวัดและเจดีย์สวยๆ ให้ได้ไปเยี่ยมชมกันด้วยนะจ้ะ ถ้ามองจากสวน Le Jardin D’Amour มา หรือว่าระหว่างที่นั่งเคเบิ้ลคาร์ก็จะเห็นพระพุทธสีขาวองค์ใหญ่
ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ในส่วนเดียวกับวัด Linh Chua Linh Tu เชื่อกันว่าที่นี่เป็นจุดเชื่อมต่อกันระหว่างท้องฟ้าและโลก เป็นจุดศูนย์รวมของ Ying และ Yang ตามความเชื่อของชาวจีน ซึ่งหลายคนก็มากราบไหว้ขอพรจากที่นี่
ถ้ำฟองญาถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1899 ในช่วงสมัยสงครามอเมริกา ถ้ำแห่งนี้ถูกใช้งานเป็นโรงพยาบาล หลังจากนั้นมีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้เริ่มออกสำรวจ พบว่าถ้ำมีขนาดกว้าง 7,729 เมตร สูง 50 เมตร และมีความลึกของระดับน้ำถึง 83 เมตร
ซึ่งได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี 2003 ซึ่งถ้ำนี้ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติฟองญา (Phong Nha National Park) การจะเข้ามาเยี่ยมชมนั้นจะมีทางเข้าอยู่ 2 โซน ได้แก่ The Twilight Zone และ The Dark Zone
Twilight Zone จะเป็นโซนหินงอกหินย้อยที่ตกแต่งไปด้วยไฟสีสันสวยงาม โซนนี้จะมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 1.2 กิโลเมตร ซึ่งต้องบอกเลยว่าจะเป็นระยะทางที่คุ้มค่า งดงาม เกินคำบรรยายมากที่สุด และในส่วนนี้ก็ยังมีสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ อย่างเช่น กุ้ง ปู และ ปลาไหล ให้เห็นอีกด้วย
The Dark Zone เมื่อพ้นเขตของแสงไฟแล้ว ถ้ำก็จะมืดลงเรื่อยๆ จนมองไม่เห็นอะไรเลย ในการทัวร์ถ้ำส่วนนี้ จะมีไกด์ขับเรือมืออาชีพ คอยให้ข้อมูลเพื่อนำทางเราไปเรื่อยๆ ด้วยระยะทางถึง 4.5 กิโลเมตรกันเลยทีเดียวค่ะ! ขอบอกเลยว่าน่ากลัว และน่าหวาดเสียวสุดๆ
แต่ก็ครั้งหนึ่งในชีวิตก็ต้องลองสักครั้งให้ได้ รับรู้รสชาติของประสบการณ์ใช่มั๊ยละค้า ~ ซึ่งในความมืดนี้ก็มีเหล่าสัตว์กลางคืนอาศัยอยู่เช่นกันค่ะ เขาบอกด้วยนะคะว่า สัตว์พวกนี้จะตาบอด เช่น ค้างคาวตาบอด รวมถึงจิ้งหรีด และจิ้งจก ฮือออ พูดแล้วก็ขนลุกเลยค่ะ TT ซึ่งคุณไกด์บอกว่า ที่นี่มีจิ้งจกสีแดงอาศัยอยู่ด้วย แต่ยากมากที่มันจะออกมาให้เห็น แต่ก็ไม่เป็นไรจ้า ขอไม่รบกวนคุณจิ้งจกแล้วกันน้าาาา
อ่าวฮาลองมีขนาด 1,553 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมหมู่เกาะ 1,969 แห่ง ซึ่งมีอายุทางธรณีวิทยาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 250 ถึง 280 ล้านปี และเคยถูกยกย่องให้เป็นมรดกโลกถึงสองครั้งในปี ค.ศ.1994 ในด้านความสวยงามของธรรมชาติ และในปี ค.ศ. 2000 ในด้านคุณค่าทางภูมิศาสตร์ และยังเคยถูกยกให้เป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ใหม่ทางธรรมชาติของโลก
ในปี ค.ศ. 2011 อ่าวฮาลองถูกขนานนามโดยกวีผู้ยิ่งใหญ่ว่า “ความมหัศจรรย์แห่งแผ่นดินที่สูงเสียดฟ้า” ที่นี่ยังถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งธรณีวิทยาด้วยนะค้า
อ่าวฮาลองอยู่ในพื้นที่มหาสมุทรเขตร้อน ทำให้มีการอาศัยอยู่ของระบบนิเวศแนวปะการังถึง 232 ชนิด รวมถึงพืชน้ำ เช่น สาหร่ายทะเล และสัตว์น้ำลึก พวก ปู กุ้ง และ ปลาไหล รวมถึง หอยเป๋าฮื้อ ด้วยค่า การไปท่องเที่ยวที่อ่าวฮาลองก็กิจกรรมสนุกๆ อย่าง การพายเรือคายัค ชมธรรมชาติ และขอแนะนำว่าให้ไปลองการล่องเรือข้ามคืน เพราะอาวฮาลองนั้นมีเกาะเล็กๆ น้อยๆ ถึง 775 แห่งให้ได้ไปดื่มด่ำกันอย่างเต็มที่กันเลยค่า
ซาปาเป็นเขตพื้นที่ตั้งอยู่บนเขาติดกับชายแดนประเทศจีน ทางเหนือของประเทศเวียดนามค่ะ ถ้าเดินทางมาที่นี่จากฮานอย เราจะสามารถเห็นแนวเทือกเขาแอลป์ได้ด้วยน้า ซาปาเป็นเมืองหนึ่งของเวียดนามที่เติบโตด้านการท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แม้ว่าที่นี่จะค่อนข้างชนบทก็ตาม และสิ่งที่ทำให้หลายๆ คน อยากจะมาเช็คอินที่นี่นั่นก็คือ นาข้าวขั้นบันได ที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เป็นความสวยงามของธรรมชาติที่มนุษย์ได้คิดสร้างสรรค์ขึ้น
นอกจากนาข้าวขั้นบันไดแล้ว ที่ซาปานั้นยังมีอะไรหลายๆ อย่างให้ทำอีกเยอะแยะเลยค่า อย่างเช่น การไปปีนเขา Fansipan เพื่อพิชิตหลังคาของอินโดจีน ชมวิวของเมืองซาปาจาก ยอดภูเขาฮามร่อง ชื่นชมธรรมชาติพร้อมดื่มด่ำบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้น
และพระอาทิตย์ตกดินที่ซาปา ขอแนะนำว่าทริปซาปาครั้งนี้ควรจะนอนพักสักคืนที่ โฮมสเตย์ในบ้านของชนกลุ่มน้อยชาวฮั่นและชาวห่า ตื่นเช้ามาชมทะเลหมอกยามเช้ากันที่ยอดเขา O Quy Ho แปรงฟันล้างหน้า แล้วไปอาบน้ำตกกันที่ น้ำตกซิลเวอร์และน้ำตกรัก ก่อนจะปิดท้ายด้วยการไปเดินหาอะไรกินกันให้อิ่มท้องที่ ตลาดท้องถิ่น ของเมืองนี้เลยค่า
ภูเขาทรายสองสี (The Sand Dunes) ตั้งอยู่ในเมืองมุยเน่ เป็นพื้นที่เขตร้อนติดชายฝั่งทะเล ซึ่งสามารถเดินทางด้วยรถบัสจากโฮจิมินห์และดาลัทได้ ภูเขาทรายนั้นจะอยู่ออกห่างจากตัวเมืองประมาณ 6 กิโลเมตร และ 26 กิโลเมตร การจะไปเที่ยวภูเขาทรายทั้งสองที่นั้น แนะนำให้จองทัวร์ส่วนตัวกับโรงแรม หรือ เอเจนซี่รถทัวร์ก็ได้ การจัดทริปสไตล์การเที่ยวของแต่ละคนว่าจะไปที่ไหนก่อน แต่แนะนำว่าให้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกที่ภูเขาทรายค่ะ จะเป็นโมเม้นต์ที่ฟินสุดๆ เลย!
ภูเขาทรายสีขาว (White Sand Dune of Mui Ne) อยู่ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 26 กิโลเมตร เป็นภูเขาทรายขนาดใหญ่ สามารถเดินทางขึ้นไปถึงบนยอดได้โดยการ นั่งรถจิ๊บ หรือ รถ ATV ค่ะ ค่าเช่ารถก็ตกคนละประมาณ 200,000 ดอง หรือ 300 บาท
ใครไปเป็นกลุ่มใหญ่ แนะนำว่าให้นั่งรถจิ๊บเพราะราคาจะถูกกว่า และความมันส์ก็ไม่แตกต่างกัน ส่วนใครที่สนใจขับ ATV ละก็สามารถเข่าขับได้ แต่ราคาจะแพงกว่ามีคนขับให้ ซึ่งบอกเลยว่ามีคนขับให้เราจะได้มันส์เต็มที่กว่าขับเองนะคะ อันนี้คอนเฟิร์ม! สำหรับใครที่จองทัวร์ส่วนตัวไว้ จะมีคนมารับเรามีโรงแรมตอนประมาณตีสี่ เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ในช่วงหลังจากพระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็จะมี Hot Air Balloon ช็อตนี้ต้องเก็บเลยนะคะ ยืนโพสเผลอๆ ให้คนที่มาด้วยแชะรูปให้กันสักสองสามรูป อัพลงไอจีเดี๋ยวนั้น บอกเลยต้องมีคนอิจฉา! ฮิฮิ
ภูเขาทรายสีแดง (Red Sand Dune of Mui Ne) ที่นี่จะมีขนาดเล็กกว่าภูเขาทรายสีขาวค่ะ อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 6 กิโลเมตร ซึ่งอันนี้ก็แนะนำว่าให้มาช่วงที่ใกล้พระอาทิตย์ตกดินค่ะ ถ่ายรูปสวยแน่นอน ส่วนกิจกรรมก็จะมีให้เช่าคล้ายๆ กับฟิวเจอร์บอร์ดให้เรานั่งแล้วสไลด์ลงไปตามเนินเขา ก็น่าสนุกไปอีกแบบค่ะ
แถวภูเขาทรายแดงก็จะมีร้านอาหารเยอะแยะ รวมไปถึงแม่ค้าหาบเร่ ใครที่อยากลองชิมก็ลองได้นะคะ จะเป็นพวกน้ำเต้าหู้ แล้วก็คล้ายๆ กับข้าวเกรียบปากหม้อของบ้านเรา ราคาประมาณ 20,000 ดอง หรือ 30 บาทค่ะ ใครจะแวะไปมุยเน่ก็แนะนำให้นั่งรถมานอนค้างคืนนะคะ จะได้จองทัวร์แล้วจัดเต็มกับกิจกรรมในเมืองนี้ด้วย
ฮอยอันเป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนามในปัจจุบันนี้ และเคยเป็นเมืองท่าสำหรับการค้าขายช่วงยุคศตวรรษที่ 15 – 19 เมืองนี้มีตึกรามบ้านช่องที่ถูกปลูกสร้างขึ้นด้วยวัฒนธรรมที่ผสมผสานจากหลากหลายประเทศรวมเข้าด้วยกัน จึงทำให้ที่นี่นั้นเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์สืบมาเป็นมรดกอันล้ำค่า
สำหรับใครที่สนใจมาเที่ยวฮอยอัน ที่นี่ไม่มีสนามบินให้บินตรงหรือบินต่อมานะคะ แต่สามารถนั่งรถต่อมาจากเมืองใกล้เคียงได้ เช่น บินตรงมาลงดาลัทจากนั้นนั่งรถทัวร์นอนมาลงฮอยอัน ก็จะใกล้ๆ หน่อย หรือ ถ้าอยากไปเที่ยวโฮจิมินห์ก่อนก็สามารถนั่งเครื่องไปลงที่โอจิมินห์แล้วซื้อรถทัวร์นอนไปลงฮอยอันได้เช่นกันค่า ส่วนคนที่เที่ยวลงมาจากทางเหนือ เปลี่ยนบรรยายกาศนั่งรถไฟจากดานังมาลงที่ฮอยอันก็น่าสนุกไปอีกแบบนะคะ
มาถึงฮอยอันแล้ว ทำให้นึกละครเรื่อง ฮอยอันฉันรักเธอเลยนะคะ อิอิ บอกอายุสุดๆ 555 ยังจำได้อยู่เลยว่าตอนที่ดูผ่านจอทีวีขนาดยังไม่มีระบบภาพ 4K HD เมืองฮอยอันที่เห็นนั้นก็สวยและทำให้เก็บไปฝันว่าอยากจะได้มาชมเมืองเล็กๆ น่ารัก ดูสักครั้งหนึ่งในชีวิต ซึ่งจากตอนนั้นถึงตอนนี้เวลาก็ทำให้ความเจริญเติบโตของเมืองเพิ่มขึ้น แต่ฮอยอันก็ไม่ทำให้เราผิดหวังค่ะ มุ่งหน้าไปกันที่ เมืองเก่าฮอยอัน (Hoi An Old Town or Hoi An Ancient Town) ที่นี่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์และเก็บรักษาความเป็นเมืองมรดกแห่งวัฒนธรรมไว้อย่างดีเยี่ยม และได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การ UNESCO ในปี 1999 บอกเลยว่าเด็ดทุกมุม ถ่ายรูปสวยแน่นอนจ้า
หลังจากถ่ายรูปกับเมืองเสร็จแล้ว ห่างจากตัวเมืองเพียง 5 กิโลเมตร ทะเลสาบฮอยอัน หรือ ฮอยอันริเวอร์ไซด์ (Hoi An River Site) ก็เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์สำหรับเมืองนี้ ยามค่ำคืนที่นี้จะถูกประดับประดาด้วยไฟที่มีลักษณะแปลกตา ใครที่มาเป็นคู่รับรองความสวีท ฟินๆ กันไปเลย ส่วนใครที่มากับเพื่อนๆ บอกเลยว่าจะเป็นภาพความทรงจำที่ดีแน่นอนค่ะ
เมืองเว้ เมืองหลวงเก่าของประเทศเวียดนาม ตั้งที่อยู่ในภาคกลาง ซึ่งถูกยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกจาก UNESCO ในปี ค.ศ. 1945 เป็นเมืองที่รวบรวมวัฒนธรรมตกทอดมาจากจีนโดยแท้ ซึ่งแตกต่างจากเมืองอื่นๆ
ในเวียดนามที่จะมีความเป็นยุโรปเขามาผสม แต่ที่เมืองเว้ได้ถูกแต่งเติมไปด้วยสิ่งก่อสร้างแบบจีนโบราณ และประวัติจากประเทศจีนอย่างอัดแน่นกันเลยทีเดียวค่ะ
ที่แรกขอแนะนำเลยคือ สุสานพระราชวงศ์เหงียน (The Nguyen Dynasty Tombs) ค่ะ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองเว้ ที่นี่ถูกสร้างขึ้นตามหลักฮวงจุ้ยของ ประกอบไปด้วย ทางเดินเข้าต้องผ่าน กำแพงซุ้มประตู 3 ชั้น ศาลกราบไหว้ ทะเลสาบ ศาลาในน้ำ และสุสานที่ฝังศพของพระราชวงศ์เหงียน
สุสานเหล่านี้ตั้งอยู่บนเนินเขาภายด้านในค่ะ สามารถเดินชมตามลำดับขั้นไปได้เรื่อยๆ จากทั้งหมด 13 จักรพรรดิ สุสานได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อบูชาเพียง 7 พระองค์ นั่นก์คือ Gia Long, Minh Mang, Thieu Tri, Tu Duc, Duc Duc, Dong Khanh และ Khai Dinh แต่ละสุสานจะถูกตกแต่งในลักษณะที่แตกต่างกัน บางสุสานจะมีรูปปั้นนักรบ นักกวี หรือ นักบวช อยู่ที่หน้าของที่ตั้งสุสาน และบางที่ก็มีเพียงแค่สุสานให้ขึ้นไปกราบไหว้เท่านั้น
ไปกันต่อที่ อนุสาวรีย์คอมเพล็กซ์ของเมืองเว้ หรือ พระราชวังเว้ (Complex of Hue Monuments) ที่นี่ได้จัดทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1993 ด้านคุณค่าทางวัฒนธรรม ศาสนา และการเมือง
อนุสาวรีย์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยความซับซ้อน ออกแบบการสร้างโดยจุดสำคัญ 5 จุด ได้แก่ ศูนย์กลาง, ตะวันตก, ตะวันออก, เหนือและใต้ และมีองค์ประกอบของธรรมชาติ 5 จุดเช่นกันคือ ดิน โลหะ ไม้ น้ำและไฟ รวมถึงตกแต่งแบบ 5 สี ได้แก่ เหลือง ขาว ฟ้า ดำ และแดง พื้นที่ภายในของอนุสาวรีย์มีขนาดราวๆ 3,000 ไร่ ด้านในจะมีโซนต่างๆ ให้แยกชมไม่ว่าจะเป็น Kinh Thanh (เมืองส่วนกลาง), Hoang Thanh (เมืองของจักรพรรดิ), Tu Cam Thanh (เมืองลับ), and Dai Noi (เมืองส่วนในสุด)
ญาจางเป็นเมืองที่อยู่ติดชายฝั่งทะเล เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความสวยของชายหาดและการดำน้ำในทะเลน้ำลึก ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติและทำรายได้ให้เวียดนามอย่างมหาศาล อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนั้นเรียกว่าเป็นหัวใจหลักของเมืองนี้เลยทีเดียว รวมทั้งที่นี่ยังเป็นท่าต่อเรือและที่จอดเรือยอร์ชประจำปีจากประเทศฮ่องกงด้วยค่า สถานที่ที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวให้ความสนใจมากที่สุดนั่นก็คือ ชายหาดญาจาง
นอกจากการอาบแดด เดินเล่น เล่นน้ำริมชายหาดแล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมทางน้ำให้สนุกอีกเยอะแยะ เช่น การแล่นเรือใบ พายเรือคายัคลม นั่งเรือเที่ยวชมเกาะ ดำน้ำดูปะการังน้ำลึก รวมไปถึงเรื่องอาหารการกินอย่างอาหารทะเลต้องห้ามพลาดเด็ดขาด รับประกันความสดม๊ากกกก และอีกหนึ่งอาหารชั้นดีนั่นก็คือ ซุปรังนก ถือว่าเป็น The Best ของเวียดนามเลยค่ะ
เกาะฟูก๊วก ตั้งอยู่ในทะเลอ่าวไทย ระหว่างชายแดนประเทศเวียดนามและประเทศกัมพูชา ห่างจากตัวเมืองโฮจิมินห์ประมาณ 50 นาที ที่นี่อยู่ในความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเล ซึ่งจะเปิดให้เยี่ยมชมตลอดทั้งปี ช่วง High Season คือช่วงพฤศจิกายนถึงมีนาคมค่ะ ฟูก๊วกคือเกาะที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ไข่มุกเม็ดงามแห่งเวียดนาม ด้วยสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สวยงาม น้ำทะเลที่สวยและใส เหมาะสมรับการดำน้ำดูปะการังน้ำตื้น
การเดินทางมาเกาฟูก๊วกก็ไม่ยาก สำหรับใครที่มีแพลนจะไปดื่มด่ำกับบรรยากาศบนเกาะอย่างหรูหราสามารถบินตรงจากกรุงเทพไปลงสนามบินฟูก๊วกได้เลย โดยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ และไม่ต้องขอวีซ่า ส่วนเรื่องที่พักเกริ่นมาแล้วว่าต้องกินอยู่แบบหรูหรา บนเกาะฟูก๊วกนั้นก็มีโรงแรมให้เลือกพักติดริมหาดระดับห้าดาวหลายๆ แห่ง ยกตัวอย่างเช่น JW Marriot Phu Quoc ที่นี่ถือว่าเป็นหนึ่งความสุดยอดแห่งการออกแบบ ด้วยความที่ตึกอาคารห้องพักนั้นมีเรื่องราวตามแบบฉบับ Lamarck University อลังการแบบ สิบ สิบ สิบ ไปเลยจ้า!
นอกจากกิจกรรมทางน้ำแล้วบนเกาะฟูก๊วกก็ยังมีอะไรอีกหลายๆ อย่างให้เราได้ไปสำรวจกัน เช่น เที่ยวหมู่บ้านชาวประมง ลิ้มรสอาหารทะเลบนร้านอาหารลอยน้ำ แวะชมวัดของศาสนา Cao Daism ที่มีต้นกำเนิดบนเกาะฟูก๊วก ไปเล่นน้ำตกที่ Phu Quoc Waterfall และอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมายบนเกาะนี้ รับรองว่า ไม่มีเบื่อแน่นอนจ้า
ถ้ำซันดองเป็นอีกหนึ่งถ้ำที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติฟองญา ซึ่งยังถูกยกให้เป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยความยาวถึง 6 กิโลเมตร สูง 200 เมตร และกว้าง 150 เมตร สุดทางถ้ำจะมีกำแพงหินสูง 80 เมตร เรียกกันว่า “กำแพงแห่งเวียดนาม” ที่นี่เกิดจากการกัดเซาะของกระแสน้ำจากแม่น้ำ Rao Thuong ทำให้เกิดอุโมงค์ขนาดใหญ่และมีหินงอกหินย้อย ว่ากันว่าภายในถ้ำซันดองนั้นสามารถสร้างตึกระฟ้าอย่างในนิวยอร์กได้เลยทีเดียวค่ะ! ถ้ำแห่งนี้ยังมีอายุมามากกว่า 400-500 ล้านปี ถูกค้นพบครั้งแรกโดยชนกลุ่มน้อยชางดง แล้วยังมีเรื่องเล่าจากชาวบ้านว่า ในถ้ำนี้มีสิ่งน่ากลัวอาศัยอยู่ เพราะจะได้ยินเสียงแปลกๆ ออกมาจากถ้ำ แต่หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 2009 ชาวอังกฤษได้เข้าไปสำรวจก็พบว่าเป็นเสียงน้ำที่ไหลกระทบอยู่ภายในถ้ำ
บอกเลยว่าถ้ำแห่งนี้ยังมีอะไรให้อึ้งอีกเยอะเลยค่ะ อย่างแรกก็คือ ภายในถ้ำนั้นมีระบบนิเวศเป็นของตัวเองด้วยนะคะ! มีทั้งป่าและแม่น้ำในตัวถ้ำ มหัศจรรย์จริงๆ เลยใช่มั๊ยละคะ ที่นี่ก็มีกิจกรรมให้ทำหลายอย่างเลยค่ะ เช่น กางเต็นท์นอนค้างคืนในถ้ำ ล่องเรือแจว การปีนเขา และชมหินงอกหินย้อย ซึ่งไฮไลท์ก็คือภายในถ้ำซันดอง ยังมีถ้ำเล็กเรียกว่า ถ้ำไข่มุก อีกด้วย ที่นี่จะมีหินงอกที่ถูกน้ำที่หยดลงมาจากเพดานถ้ำกัดเซาะ จนเกิดเป็นลานกว้างรูปคลื่นที่ภายในเกลียวคลื่นนั้นจะมีลูกกลมๆ หลายๆ ลูกขนาดเท่าลูกเบสบอล ทำให้ดูเป็นเหมือนไข่มุกที่อยู่ในเปลือกหอยนับหลายพันลูก
การเข้าชมถ้ำซันดองนั้นก็ไม่ได้จะไปกันง่ายๆ นะคะ ต้องจองกันล่วงหน้าเป็นเดือนๆ และที่นี่เปิดให้เข้าชมในช่วงเดือน มกราคม – สิงหาคม เท่านั้น ซึ่งค่าเข้าชมนั้นก็จะเป็นแบบแพ็คเกจค่ะ 4 วัน 3 คืน บวกวันเดินทางไป 1 วัน และวันเดินทางกลับอีก 1 วัน ราคาอยู่ที่ 150,000 บาท หรือ 3,000 เหรียญสหรัฐ ต่อคนเท่านั้นค่า อิอิ ซึ่งเพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้เดินทางจึงมีการกำหนดอายุขั้นต่ำ ซึ่งผู้เดินทางต้องอายุกว่า 18 ปีขึ้นไปนะคะ
ดาลัทเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบสูงทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม ซึ่งที่นี่จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ 18 – 20 องศา บอกเลยว่าบางโซนของดาลัททำให้นึกถึงประเทศเกาหลีเลยทีเดียวค่ะ เพราะด้วยว่าสภาพอากาศ และทุกๆ มุมของเมืองนั้นจะมีการจัดวางสวนดอกไม้ย่อมๆ อยู่ทั่วเมือง สำหรับใครที่นั่งรถเข้าไปในเมืองดาลัทสิ่งแรกที่เห็นแล้วสะดุดตาเต็มๆ แน่นอนนั่นก็คือ ทะเลสาบกลางเมืองขนาดใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยดอกไฮเดรนเยียหลากหลายสีสัน พร้อมทั้งมีแบล็คกราวน์เป็นจัตุรัส Lam Vien และ Doha Cafe มุมนี้บอกเลยว่า สุดยอด!
มาที่นี่ทั้งทีก็ต้องไปเช็คอินแลนด์มาร์คอย่าง สวนดอกไม้เมืองหนาว (Flower Garden Dalat) กันสักอย่าง งานนี้สาวก Instagram Lover ก็ต้องออกตัวกันอีกสักหน่อยแล้ว สวนดอกไม้เมืองหนาวจะตั้งอยู่ที่ปลายสุดของทะเลสาบห่างออกจากตัวเมืองไปประมาณ 2 กิโลเมตร ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็นทำให้ที่นี่สามารถปลูกดอกไม้หายากได้หลากหลายชนิด เช่น กุหลาบมิโมซ่า ดอกกล้วยไม้ป่า ดอกไฮเดรนเยีย ดอก Forget Me Not และ ดอกไม้อื่นๆ รวมกว่า 300 ชนิดค่า ถ้ามาที่นี่ไม่ว่าฤดูไหน เราก็ได้เห็นดอกไม้ของเมืองนี้บานอยู่ตลอดทั้งปี
และอีกหนึ่งที่ท่องเที่ยวฮิตสุดๆ ตอนนี้ก็คงต้องยกให้ สวนไฮเดรนเยียเมืองดาลัท (Hydrangea Garden Dalat) เลยนะคะ ไม่ว่าแก็งค์ไหนๆ ถ้ามาที่นี่แล้วก็จะต้องมีรูปโพสอวดโลกโซเชี่ยลให้อยากมาตามๆ กันเลยละคะ ที่นี่จะตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 5 กิโลเมตรเท่านั้น สำหรับค่าเข้าชมจะอยู่ที่ราคา 15,000 ดอง หรือ เท่ากับ 25 บาทเท่านั้นเองจ้า
ฮังญา เกสต์เฮาส์เป็นที่รู้จักกันในชื่อ เครซี่เฮาส์ (Crazy House) เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ฮิตสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนเป็นอย่างมาก โดยเริ่มแรกที่นี่สร้างขึ้นเพื่อให้บริการด้านห้องพักเพียงอย่างเดียวจากแรงบันดาลใจของลูกสาวประธานาธิบดีต้วน ในช่วงที่ครอบครัวของเธอกำลังจะล้มละลาย เธอต้องการโชว์ความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้ให้คนได้เห็น เธอจึงเสนอแผนการสร้างครั้งนี้เพื่อกู้เงินจากธนาคาร แต่ว่ามันกลับล้มเลว ดังนั้นนอกจากความคิดที่จะทำเป็นห้องพักแล้ว เธอมีไอเดียว่าจะขายตั๋วสำหรับเข้าชมให้เข้าชม เพื่อให้คนได้มาเสพความเป็นศิลปะที่ไม่เหมือนใครของเธออีกด้วยค่ะ
เครซี่เฮาส์มีลักษณะคล้ายกับบ้านต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ภายในนั้นมีห้องพักเล็กๆ หลายห้อง แต่ละห้องนั้นก็มีรูปแบบและชื่อแตกต่างกันออกไป เช่น ห้องเสือ ห้องจิงโจ้ ห้องอินทรีย์ ห้องมด ซึ่งทุกห้องนั้นจะตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ทำมือทั้งหมด ภายนอกจะเห็นได้ว่ามีบันไดพาดไปมาระหว่างตึกเหมือนกับเถาวัลย์ และบันไดที่ขึ้นไปแต่ละชั้นนั้นก็ถูกออกแบบให้เหมือนเดินอยู่ในอุโมงค์ ปัจจุบันที่นี่ก็ยังคงเปิดให้บริการในรูปแบบโรงแรม ซึ่งจะเป็นส่วนห้องพักที่แยกเอาไว้ รวมถึงเปิดให้เข้าชมเชิงพิพิธภัณฑ์ ราคาค่าเข้าชมอยู่ที่ 20,000 ดอง หรือประมาณ 30 บาทจ้า
อุโมงค์คูชิ สถานที่ที่ถูกเก็บรักษาไว้เพื่อรำลึกถึง “สงครามเวียดกง” หรือ สงครามคอมมิวนิสต์ระหว่างเวียดนามและอเมริกา ซึ่งอุโมงค์หรือหลุมเหล่านี้ถูกขุดสร้างขึ้นโดยมือทหารเวียดนามในสงครามในช่วงปลายศตวรรษ 1940 อุโมงค์เหล่านี้ค่อยๆ ถูกขยายเป็นวงกว้างราว 250 กิโลเมตร เริ่มต้นจากเมืองไซง่อนจนไปถึงเขตดินแดนกัมพูชา เรียกกันว่า “อุโมงค์หนู” ค่ะ
ในขณะที่อเมริกาได้ใช้วิธีการทิ้งระเบิดอย่างบ้าคลั่งจากฟ้าเพื่อกวาดล้างนั้น ฝั่งเวียดนามเองก็ใช้กลยุทธ์วิถีโจรโดยการหลบซุ่มโจมตีและซ่อนตัวภายใต้พื้นดิน แต่นอกจากการสร้างอุโมงค์นี้เพื่อเป็นที่พักพิงแล้ว ภายในอุโมงค์ยังมีอะไรให้ อึ้ง และ ตลึงมากกว่าที่เราคิดค่ะ เพราะจากการเล่าเรื่องของไกด์เขาบอกว่า ในอุโมงค์นี้ไม่ได้เป็นแค่หลุมลึกลงไปธรรมดา แต่ในนั้นคือหมู่บ้าน ! โอ้โห ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเขาเลยค่ะ มีทั้งห้องนั่งเล่น ห้องครัว โรงงานยุทธภัณฑ์ โรงพยาบาลและที่พักพิงสำหรับการหลบระเบิด ในบางส่วนยังมีโรงละครขนาดใหญ่ และห้องโถงดนตรี เพื่อให้ความบันเทิงสำหรับเหล่าทหาร และพันธมิตรด้วยละค่า
ต่อมาหลังจากการล่มสลายของไซง่อนในปี ค.ศ. 1975 รัฐบาลเวียดนามร่วมกับอุทยานอนุสรณ์สถานสงครามได้เก็บรักษาอุโมงค์เหล่านี้ไว้ และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้เฉพาะบางส่วนที่ได้ทำการเคลียร์พื้นที่จากระเบิด กับดักหลุมพรางแล้วนะจ๊ะ
ฮานอย เมืองหลวงของประเทศเวียดนามที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องสถาปัตยกรรมเก่าแก่ของโลกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนหรือยุโรป เพราะครั้งหนึ่งประเทศเวียดนามนั้นเคยตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศฝรั่งเศสมาก่อน แม้แต่การใช้ภาษาในการเขียนนั้นยังได้รับอิทธิพลมาจากการเขียนหนังสือแบบฝรั่งเศสอีกด้วย
นอกจากสถาปัตยกรรมแล้ว ที่นี่ยังเป็นเมืองที่เก็บเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สำคัญๆ ของเวียดนามไว้อีกด้วย และหนึ่งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเวียดนามนั่นก็คือ สุสานโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh’s Mausoleum) เป็นที่พำนักร่างของผู้นำปฏิวัติโฮจิมินห์ สุสานตั้งอยู่ในกลางจัตุรัส Ba Dinh ซึ่งเคยเป็นที่ที่ประธานโฮได้ตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ของเวียดนาม หลังจากประธานโฮเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1969 ก็ได้มีการอ่านประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม ขึ้นที่กลางจัตุรัสนี้เมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 หลังจากนั้นก็ได้เริ่มก่อสร้างสุสานแห่งนี้ขึ้นและเปิดให้เข้าชมในปี 29 สิงหาคม ค.ศ. 1947
การออกแบบสุสานได้รับแรงบันดาลใจมากจากสุสานของเลนิลผสมผสานกับสถาปัตยกรรมเวียดนาม โดยออกแบบให้มีหลังคาเอียงลาด ก่อสร้างด้วยหินแกรนิตสีเทา ส่วนด้านในเป็นหินขัดสีเทาดำและสีแดง ด้านหน้าของสุสานจะสลักชื่อประธานโฮจิมินห์เอาไว้ว่า “Ho Chi Min” และด้านข้างจะมีป้ายแบรนด์เนอร์ติดไว้ว่า “Nước Cộng Hòa Xã Hội Chủ Nghĩa Việt Nam Muôn Năm” แปลว่า ขอให้สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามจงเจริญ
ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เป็นดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกินพื้นที่ถึง 39,000 ตารางกิโลเมตร และตั้งอยู่บนพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเวียดนาม ดินดอนแห่งนี้เกิดขึ้นได้จากการที่แม่น้ำโขงนั้นมีต้นกำเนิดมากจากที่ราบสูงทิเบต โดยแม่น้ำสายนี้จะไหลผ่านทั้งหมด 7 ประเทศ ลงสู่น่านน้ำทะเลจีนใต้ จึงทำให้เกิดการสะสมตัวของตะกอนในลักษณะดินดอน คนเวียดนามให้ชื่อกับที่นี่ว่า “ชามข้าวของชาวเวียดนาม” เพราะพื้นที่ส่วนนี้เป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกนั่นเองค่า
ถ้าใครได้มีโอกาสมาเยี่ยมชมที่นี่ก็จะได้สัมผัสกับบรรยากาศของการค้าขายที่คึกคักเต็มคุ้งน้ำ พืช ผัก ผลไม้ ที่ขายกันเต็มเรือ เพลิดเพลินไปกับการนั่งเรือพายเที่ยวชมป่าโกงกางที่อุดมสมบรูณ์ไปด้วยเหล่าสิ่งมีชีวิตนานาชนิดอย่าง ปู นก และปลา และจะได้พบเจอกับซากอารยธรรมในยุคสงคราม เช่น ซากของบังเกอร์เวียดกง รวมถึงการพายเรือชมวัด และเจดีย์แบบเขมร ที่ทอดยาวไปกับขอบท้องฟ้าเลยค่า~ ใครที่สนใจนั่งเรือก็สามารถเช่าเรือได้ง่ายๆ โดยแถวนั้นจะมีเรือจอดยาว เรียงแถวให้เลือกกันเพียบเลยค่ะ ค่าเสียหายประมาณคนละ 40 USD หรือ 1,300 บาท ระยะเวลาทัวร์ประมาณ 3-4 ชั่วโมงจ้า