ได้เวลาเที่ยวเมืองจีน ที่ไม่ได้มีแค่กำแพงเมืองจีน เปิดประตูสู่ดินแดนจีนภาคใต้ตอนกลาง ค้นพบความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ แม่น้ำในกุ้ยหลิน สู่ความงามสุดยิ่งใหญ่แห่งภูเขาในจางเจียเจี้ย ก่อนไปต่อกันที่จีนภาคตะวันออกเฉียงใต้ จากเมืองแห่งแสงสีและสถาปัตยกรรมสุดคลาสสิค ในเซี่ยงไฮ้ สู่แหล่งวัฒนธรรมมรดกโลกเกินจินตนาการในฝูเจี้ยน พร้อมแล้ว Let’s Go!!
อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย ( Zhangjiajie National Forest Park) เป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติที่ดีที่สุดของจีน พอมาถึงจะได้เห็นวิวในตำนานของจางเจียเจี้ย (Zhagnjiajie) เขาหินทรายที่สูงตระหง่านเสียดฟ้าท่ามกลางทะลหมอก สัตว์ป่าธรรมชาติ และแม่น้ำที่สงบเงียบ บรรยากาศระดับเทพขนาดนี้ เอาไปเล้ยย สิบ สิบ สิบ จร้า ต้นแบบแห่งอวตาร
อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ยตั้งอยู่ในพื้นที่อู่หลิงหยวน (Wulingyuan Scenic Area) แบ่งออกเป็น 4 จุดด้วยกัน ได้แก่จุดแรก ลำแส้สีทอง (Gold Whip Stream) ทางตอนใต้ใกล้กับเมืองจางเจียเจี้ย ซึ่งบรรยากาศจะสบายๆ เดินเรียบริมแม่น้ำ ใครชอบแบบชิลๆ ก็จัดปายย
จุดที่สองหยวนเจียเจี้ย (Yuanjiajie) หรือที่แปลว่าดินแดนตระกูลหยวน ซึ่งอยู่ตรงกลางเข้ามาทางตะวันออกของเมืองสั่วซีอวี้ (Suoxiyu Town) จุดนี้จัดว่าท๊อปสุด ฮอทสุด เพราะมีภูเขาอวตาร (Avatar Hallelujah Mountain) ที่หลายคนเชื่อว่าลุงเจมส์ คาเมรอน แกได้แรงบันดาลใจจากที่นี่ไปสร้างฉากดวงดาว Pandora ในภาพยนตร์ เรื่อง Avatar นั่นเอง หยวนเจียเจี้ยเป็นเทือกเขาที่สูงชันมว๊ากก มีแต่ยอดเขาสูง หินรูปร่างแปลกตา และหุบเขาก็ลึกไปอี๊กก ไฮไลท์ของหยวนเจียเจี้ยยังมีสะพานแรกใต้สวรรค์ (First Bridge under Heaven) และ ลานสูญเสียจิตวิญญาณ (Lost Souls Platform) ด้วยความฮิตของที่นี่ ควรหลีกเลี่ยงมาช่วงไฮซีซันประมาณกรกฏาคมถึงสิงหาคม และช่วง 1-3 พฤษภาคม 1-7 ตุลาคม เพราะอาจเจอคลื่นมหาชนได้ ไม่งั้นเดี๋ยวอดได้รูปสวยๆ ลงไอจีกับเค้านะจ๊ะตะเอ๊ง*0*
และจุดสุดท้ายหยางเจียเจี้ย (Yangjiejia) ทางตะวันตก หรือที่แปลว่าดินแดนตระกูลหยาง ที่นี่เพิ่งได้รับการค้นพบและพัฒนาไม่นานมานี้ จัดเป็นจุดที่มีความชันมากที่สุด นักท่องเที่ยวยังไม่มากนัก และทัศนียภาพก็ไฮโซเว่อร์วังมว๊ากก ใครที่ชอบปีนเขา บอกเลยว่ามาถูกที่แล้วคร่า ท้าทายสุดๆ เพราะทั้งยากและชันมาก ต้องใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงปีนขึ้นไป บริเวณที่ชันที่สุดเป็นหินผาที่ลื่น และชันถึง 70 องศา OMG!!
ใครกังวลเรื่องเดินขึ้นที่สูง เค้ามีกระเช้า ลิฟต์ ให้บริการจร้า หรือหากกลัวเมื่อยเค้าก็มีรถราง รถบัสด้วยนะจ๊ะ >,< หากแพลนจะมาให้มาช่วงกันยายน และตุลาคมจร้า เพราะอากาศดีสบาย คนไม่เยอะ จะได้เซลฟี่กันให้หนำใจไปเล้ยย*0*
เขาเทียนเหมินซาน ( Tianmen Mountain) ในเมืองจางเจียเจี้ย (Zhangjiajie) ใจกลางมณฑลหูหนาน (Hunan Province) ของจีน จัดเป็นหนึ่งในภูเขาที่สวยที่สุดในโลก เขาเทียนเหมินตั้งอยู่ทางใต้ของจางเจียเจี้ย มาถึงแล้วหายเหนื่อย พูดเลย วิวพี่เค้าสวยมากจริงๆ
เริ่มกันที่จุดชมวิวเทพๆ กัน ที่ถ้ำประตูสวรรค์ (Tianmen Cave) เป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำระหว่างยอดเขาสูงสองลูก เกิดเป็นวิวคล้ายประตูขนาดใหญ่ในหน้าผา และได้ชื่อว่าเป็นหลุมในลักษณะนี้ที่ใหญ่ที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วยจร้า สามารถนั่งรถบัสที่ 99 โค้ง (99 Bends) มาได้และต้องขึ้นบันไดที่ทั้งชันและแคบต่อมาอีก 999 ขั้น โอ้โหห!! แค่จำนวนขั้นก็ชนะเลิศแล้ว มงคลมั่กมัก ขึ้นไปถึงแล้วก็ต้องเคาะประตูสวรรค์กันซะหน่อย ก็อกๆๆ >,<
ไม่รอช้ามาต่อกันที่จุดชมวิวที่สอง 99 โค้ง (99 Bends) เป็นถนนที่มองไกลๆ มีลักษณะโค้งคมชัดวิ่งจากตีนเขาไปที่ยอดเขาและต่อไปที่ถ้ำประตูสวรรค์ หากอยากได้รูปสวยๆ ก็ต้องขึ้นไปถ่ายลงมาจากกระเช้าเคเบิลจ้า ได้ภาพไลค์รัวๆ แน่นอน คอนเฟิร์ม
เพิ่มความตื่นเต้นที่จุดชมวิวที่สาม ทางเดินลอยฟ้าบนหน้าผา (Cliff-Hanging Walkway) เป็นทางเดินที่สร้างริมยอดเขาโดยยึดติดกับหน้าผาไว้ในแนวตั้ง ทางเดินยาวราวๆ 1.6 กิโลเมตร สูง 1,400 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ถึงจะสูงแต่วิวสวยได้ใจเบอร์นี้ สู้ตายค่า
อัพเลเวลความตื่นเต้นขึ้นไปอีกกับจุดชมวิวที่สี่ด้วยทางเดินกระจกแก้ว (Glass Skywalk) หรือที่เรียกกันว่าทางเดินแห่งศรัทธา (The Walk of Faith) เปิดมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2011 บนนี้สามารถมองเห็นวิวแบบชัดแจ๋ว ผ่านทางเดินกระจกที่ทำให้หวาดเสียว วัดใจกันสุดๆ ไปเลย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงเป็นที่นิยมถูกใจสายรักการผจญภัย หรือชอบความท้าทายทั้งหลาย งานนี้ไม่ได้ขิง แต่เดินแค่นี้ ส.บ.ม. สบายมาก ชิลอ่ะ
มาถึงที่สุดท้ายกับการนั่งกระเช้าเคเบิลที่ยาวที่สุดในโลก พอไปถึงแทบไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมที่นี่ถึงเป็นหนึ่งในภูเขาที่ต้องห้ามพลาด เมื่อมาเที่ยวจีน พอขึ้นกระเช้าไปสักพักเท่านั้นแหล่ะ คือบับบ ปั๊วะมว๊ากกกกก นี่แหล่ะที่เค้าว่าเป็นบันไดสู่สวรรค์ (Stairway to Heaven) ของจริง ด้วยระยะทาง 7 กิโลเมตร ทำให้ต้องนั่งนานกว่า 30 นาที แถมช่วงท้ายๆ ก็ชันมากกก กระเช้าเคเบิลทำมุมแค่ 37 องศากับหน้าผา!! ทัศนียภาพที่ดูจากกระเช้าเคเบิลนั้น เรียกว่าสวยครบจบในที่เดียวจริงๆ ทั้งยอดเขาสีเขียวขจี 99 โค้ง หุบเขาลึก กระเช้าเคเบิลจุคนแค่ 8 คนต่อหนึ่งกระเช้าเท่านั้น หากลมแรง มีพายุ หิมะตก เค้าก็ปิดเพื่อความปลอดภัยนะจ๊ะ
เวลาทองสำหรับการมาเที่ยว คือช่วงเมษายนถึงตุลาคม เพราะอุณหภูมิในช่วงนี้กำลังสบาย หากมาช่วงกันยายนอากาศจะเริ่มแล้งๆ หน่อย แต่บนยอดเขาก็ยังอุ่นใช้ได้อยู่จร้า แต่หากใครอินบรรยากาศแบบหิมะไรงี้ ก็ต้องมาเช็คอินช่วงธันวาคมถึงกุมภาพันธ์นะจ๊ะ ทริปนี้จบแบบแฮปปี้มากเวอร์คร่า
จางเจียเจี้ยแกรนด์แคนยอน ( Zhangjiajie Grand Canyon) ตั้งอยู่ในเขตฉือลี่ (Cili County) ในเมืองจางเจียเจี้ย (Zhangjiajie) มณฑลหูหนาน (Hunan Province) ที่นี่ได้รับการพัฒนาให้เป็นเมืองมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ประกอบไปด้วยภูเขา ลำน้ำ ถ้ำ หน้าผา และป่า เรียกว่าครบรสเลยทีเดียว ที่นี่มีพื้นที่ 60 ตารางกิโลเมตร ใกล้เมืองอู่หลิงหยวน (Wulingyuan Scenic Area) แหล่งท่องเที่ยวหลักในเมืองจางเจียเจี้ย ซึ่งกินพื้นที่ราวๆ 370 ตารางกิโลเมตร ด้วยความปังของจางเจียเจี้ยแกรนด์แคนยอน จึงกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตในเมืองจางเจียเจี้ยนั่นเองจร้า
นอกจากจะฟินเฟร่ออกับวิวสวยกริบของจางเจียเจี้ยแกรนด์แคนยอนแล้ว ที่นี่ยังมีกิมมิคมากมายให้ได้ลั้ลลา ไม่เสียเวลาพาเที่ยวกันเลย เริ่มที่หนึ่ง เส้นฟ้า (One Line Sky) ก่อนที่จะเข้าไปถึงจางเจียเจี้ยแกรนด์แคนยอนตรงใกล้ประตูทางเข้าจะเป็นเส้นทางยาวกว่า 700 เมตร ซึ่งโอบล้อมไปด้วยหน้าผาสูงราวๆ 300 เมตร พอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็จะรู้สึกตามชื่อเลยจร้า เพราะจะเห็นท้องฟ้าเหมือนเป็นเส้นขนาดเล็กอยู่ด้านบน เป็นการอุ่นเครื่องก่อนเจอความอลังการข้างหน้าต่อไป>,<
ต่อกันที่บันไดสวรรค์ (The Sky Ladder) ฟังชื่อก็พอเดากันได้ว่ากำลังจะพาขึ้นที่สูงอีกล๊าวว มันเป็นบันไดไม้ตามผาสูงชันและสันเขา ทอดยาวตั้งแต่ยอดเขาสูงลงมาเลย พอให้ได้ออกกำลังกันแบบกรุบกริบๆ *0*
จุดต่อมาเป็นรูปถ่ายครอบครัว (The Family Portrait) แค่ได้ยินชื่อก็ตั้ลล้ากกกอ่ะ เป็นวิวของยอดหินสามยอดที่มีความสูงแตกต่างกัน คล้ายภาพถ่ายครอบครัวที่มีพ่อที่สูงที่สุด รองมาเป็นแม่ และหินที่เล็กที่สุดก็เป็นลูก มุ้งมิ้งสุดๆ ส่งเสริมสถาบันครอบครัวกันได้อีกก
สวิตช์อารมณ์กันเล็กน้อยด้วย ถ้ำโจร (Bandits’ Cave) ถ้ำที่เกิดจากว่าแต่ก่อนมักมีโจรหลบมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ตำรวจท้องถิ่นเองก็พยาย๊ามพยายามจะจับโจรให้ได้ แต่ด้วยความที่ถ้ำนั้นซ่อนอยู่ในภูเขา ง่ายต่อการซ่อนตัวเป็นที่ซู้ดด สุดท้ายโปลิศก็จับโจรไม่ได้ซักกะที เหลือแต่ตำนานมาตั้งเป็นชื่อถ้ำกันนี่แหล่ะจร้า
มาที่ฟีลแบบเฮฮาปาจิงโกะกันบ้างที่ ทางสไลด์ (Slide Way) ถูกใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่แน่นอน เพราะมันเป็นทางสไลด์ที่ทำจากหินแกรนิตเรียบยาวกว่า 600 เมตรให้ได้สไลด์กันยาวๆ ไป ตั้งแต่ยอดเขาลงไปกันเล้ยย เป็นจุดที่สามารถชมวิวธรรมชาติสองข้างทางแต่ก็สนุกสนานกับการค่อยๆ ลื่นไถลลงไปด้านล่างชนคนช้างหน้า ชนคนข้างหลัง ครึกครื้นกันปายย
และสุดยอดดดไฮไลท์สะพานที่ยาวที่สุด และสูงที่สุดในโลก (The World Longest & Highest Glass) ยาว 380 เมตรสูง 300 เมตร นับจากด้านล่างของจางเจียเจี้ยแกรนด์แคนยอน ที่นี่ไม่พูดถึงไม่ได้เพราะขึ้นชื่อในเรื่องของความเสียวแบบสุดๆ ก็เล่นให้เดินบนกระจกใสกิ๊งงมองลงมาเห็นทะลุทะลวงไปถึงด้านล่างสุดของอุทยานซะขนาดนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสภาพตอนเดินบนสะพานหัวใจงี้เต้นแรงมว๊ากก มือ ขาก็สั่นผับๆ กันไปตามระเบียบคร่าา แต่เค้าได้รับการทดสอบความแข็งแรงของสะพานด้วยการใช้ค้อนทุบและขับรถบนสะพานเพื่อการันตีความแข็งแรงกันมาแล้วว ค่อยสบายใจหน่อยคร่าา และด้วยความสูงจึงมีบันจี้จั๊มที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในโลก! โอ้โหห เลิศกว่านี้ไม่มีล๊าวว มงลงค่ะมงลง ใครจะมาก็ต้องจองตั๋วล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วันนะจ๊ะ
การเดินทางมาสามารถนั่งรถจากสถานีรถประจำทางที่เมืองจางเจียเจี้ยมาถึงที่นี่ได้เลยทุกวัน เปิดตั้งแต่ 7:30น.-17:00น.จร้า เชคตั๋ว จองตั๋วกันสิคะ รออัลไล ไม่พูดเยอะ เจ็บคอ
ภูเขาเทียนจื่อ (Tianzi Mountain Nature Reserve) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองอู่หลิงหยวน (Wulingyuan Scenic Area) ในมณฑลหูหนาน (Hunan Province) จุดสูงสุดอยู่ที่ 1,262 เมตร มีพื้นที่ทั้งหมด 67 ตารางกิโลเมตร ภูเขาเทียนจื่อ หรือที่แปลว่า บุตรแห่งสวรรค์ (Son of Heaven) เป็นภูเขาที่ได้รับการอนุรักษ์และจัดเป็น 1 ใน 4 จุดชมวิวของอู่หลิงหยวน โดยที่เหลืออีก 3 ที่ได้แก่ อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย (Zhangjiajie National Forest Park) หุบเขาสั่วซี (Suoxi Valley Nature Reserve) และหยางเจียเจี้ย (Yangjiajie) นั่นเองจร้า
เป็นที่รู้จักอีกชื่อว่า กษัตริย์แห่งยอดป่าสูง (Monarch of the Peak Forest) พออยู่บนยอดเขาจะสามารถมองเห็นเขตพื้นที่ท่องเที่ยวของอู่หลิงหยวนได้เต็มๆ แบบพาโนรามา วิวงามมักมั่ก บนนี้สามารถสัมผัสได้ทั้งทะเลหมอกยามเช้า แสงแดดแสนอบอุ่น หากตอนค่ำก็จะเห็นแสงละมุนของพระจันทร์ และวิวหิมะงามจนต้องตะลึงในหน้าหนาว สูดหายใจเข้าเต็มปอด ฮึบบบ ก่อนเช็คกล้องพร้อม ไฟพร้อม แช้ะๆๆ >,<
ที่มาที่ไปของความงามตามธรรมชาติของภูเขาเทียนจื่อคือการทับถมของหินตะกอนมากว่า 318 ล้านปี!! เกิดหินที่ถูกกัดกร่อนจากทั้งน้ำและสายลมค่อยๆ กลายเป็นหินควอตซ์ที่มียอดสูงสวยละลานตาเบอร์ใหญ่มว๊ากก
ความงามย่อมมาพร้อมกับตำนาน ว่ากันว่าชื่อภูเขานี้มาจากคนที่ชื่อว่า เซี้ยงต้าคุน (Xiang Dakun) เป็นผู้นำของชนกลุ่มน้อยถู่ (Tu ethnic Group) ในช่วงปลายรัชสมัยซ่งทางตอนใต้ (Southern Song Dynasty) เซี้ยงต้าคุนได้ทำการปฏิวัติและแต่งตั้งตนเองเป็นบุตรแห่งสวรรค์หรือเทียนจื่อนั่นเองจร้า
จุดชมวิวยอดนิยมได้แก่วิวต้นสนบนยอดเขาอวี้ปี่ (Yu Bi Peak) มองดูคล้ายสูงขึ้นไปบนฟ้า อีกเขาที่วิวเลิศไม่แพ้กันคือ เขาดอกเซียนนวี่ซาน (The Xian Nv San Hua) ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกัน และสุดท้ายคือวิวที่เขาเสินปิงจวีฮุย (Shen Bing Ju hui) มองไปมองมาคล้ายกองทหารขนาดใหญ่เหมือนกัน
มาเที่ยวที่สูงๆ ในจีนทีไร ก็ต้องมีกระเช้าเคเบิลเป็นของคู่กันสิน่า ระยะทางของกระเช้าเคเบิลอยู่ที่ 2,084 เมตร นั่งได้ตั้งแต่ 6-22 นาทีต่อเที่ยว นั่งไปชมวิวไป ดีงามมมค่ะยู้วว อุณหภูมิเฉลี่ยที่นี่คือ 12 องศา ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะมาคือ เดือนเมษายน พฤษภาคม กันยายน และตุลาคมจร้า ที่นี่เค้าเปิดตั้งแต่ 7:00น.-18:00น. ก่อนมาเตรียมตัวให้พร้อม งานนี้เที่ยวชิลแชะเพลิน มันก็จะกดกล้องเมื่อยนิ้วหน่อยๆ >,<
ย่าติง (Yading Nature Reserve) เป็นพื้นที่ชนบทในเขตเต้าเฉิง (Daocheng County) ในเขตปกครองตนเองทิเบตกานจือ (Ganzi Tibetan Autonomous Prefecture) ในมณฑลเสฉวน (Sichuan Province) จัดเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวิทยาหลักของเมืองแชงกรีลา (Shangri-La) กันเลยทีเดียว ย่าติงเป็นเมืองเล็กๆ ทางตะวันออกของที่ราบสูงชิงไห่ – ทิเบต (Qinghai-Tibet Plateau) อยู่ตอนกลางของภูเขาเหิงต้วน (Hengduan Mountains) สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 3,700 เมตรเอ๊งง!
วิวที่นี่เหมือนสวรรค์ดีดีนี่เอง ทะเลสาบใสกิ๊ง ทิวเขาส๊วยสวยยย เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตา ต้นไม้พลิ้วไหว แล้วยังสุดยอดบ่อน้ำพุร้อนอีก เอาอัลไลมาแลกก็ไม่ย๊อมม ไม่แปลกใจว่าที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีเยี่ยม และเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของจีน ด้วยความมหัศจรรย์ของภูมิประเทศแบบที่ราบสูงอันสวยบริสุทธ์ จึงได้ฉายา ดินแดนบริสุทธิ์แห่งสุดท้ายบนโลก (The Last Pure Land on Earth) แชงกรีลาแห่งใหม่ (The Last Shangri-La) และดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภายใต้ดวงอาทิตย์ (The Holy Land in The Sun) ปรบมือคร่าา ปรบมือ
จุดชมวิวเด็ดๆ ก็มีหลายที่ อย่างเช่น ภูเขาเอ่อชู (Echu Mountain) ได้ชื่อว่าเป็นพาเลทสีของจิตรกรปิกัสโซ่ (Picasso’s Color Pallet) กันเลยทีเดียว ในฤดูใบไม้ร่วงที่นี่รวมทั้งป่ารอบๆ จะเหมือนถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันของฤดูใบไม้ร่วง ชมวิวชาร์จพลังกันจนเต็มแล้วก็ไปกันต่อ >,<
จุดต่อมาที่ซันต้าเสิ๋นซัน (The Three Mountains of God) หรือสามขุนเขาแห่งพระเจ้า ว่ากันว่ามีนักบุญผู้คุ้มครองชาวทิเบตกล่าวว่า ชาวทิเบตจะตระหนักถึงความปรารถนาของเขาได้ หากได้จาริกแสวงบุญไปยังขุนเขาทั้งสามแห่งนี้ ดูวิวแล้วเพลินสุดๆ ทั้งภูเขา น้ำตก ทะเลสาบเก่าแก่ของที่นี่ ดูสวยสมการมาเยือนจริงๆ
พักชมธรรมชาติแวะมาเข้าวัดกันสักหน่อยที่ ก้งก๋าชงกู่ซื่อ (Gongga Chonggu) เป็นวัดทางผ่านก่อนจะไปยังสามขุนเขาแห่งพระเจ้า วัดเก่าแก่นี้สร้างมากว่า 800 ปี! ในสมัยราชวงศ์หยวน (Yuan Dynasty) ถึงแม้วัดนี้จะยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ก็สามารถเห็นพระลามะนั่งสมาธิ หรือแม้แต่สวดมนต์ในตอนเช้า และเที่ยง เป็นการสืบทอดทางศาสนาที่สำคัญของที่นี่ ใครจะมาวัดนี้ก็สามารถขี่ม้าจากย่าติงมาที่วัดได้นะจ๊ะ ใช้เวลาแค่ 30 นาทีเท่านั้นจร้า เกร๋ๆ
แว๊บออกจากวัดไปสูดอากาศกันอีกรอบที่หลัวหลงมู่ฉ่าง (Luorong Pasture) เป็นจุดค้างคืนสุดฮิตในย่าติงเลยเพราะจะได้สัมผัสวิวที่ล้อมรอบไปด้วยขุนเขาแห่งพระเจ้าทั้งสามลูก แม่น้ำก้งก๋าไหลผ่านกระท่อม แถมด้วยบรรยากาศของบ้าน และวัดในสไตล์ทิเบต แฮปปี้กว่านี้ไม่มีอีกล๊าววว *0*
ที่สุดท้ายที่จะพาไปฟินคือ ทะเลสาบห้าสี และทะเลสาบนม (Wuse Lake and Milk Lake) ทั้งสองทะเลสาบนี้อยู่ติดกัน ทีเด็ดอยู่ตรงภาพลวงตาที่เกิดจากสีของทะเลสาบเวลาต้องแสงอาทิตย์นั่นเอ๊งง ว๊าวว!! สวยงามตามท้องเรื่องคร่ายูวว์ อุณหภูมิที่จุดชมวิวเต่าเฉิงย่าติงเป็นแบบที่ราบสูง หนาวเย็นกรุบกริบเฉลี่ยที่ 4 องศาจร้า เวลาที่ดีที่สุดสำหรับการมาเที่ยวคือช่วงฤดูใบไม้ร่วง แนะนำนิดนึงว่าอากาศอาจเปลี่ยนแปลงบ่อย หากจะมาเที่ยวพยายามพักผ่อนเยอะๆ ทำร่างกายให้อบอุ่น ดื่มน้ำเยอะๆ เตรียมยาแก้หวัด แก้ปวดหัวเผื่อมาด้วยนะจ๊ะ รักทุกคนนะคะ บายย
ช่องแคบซานเสียแห่งลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง (The Yangtze Three Gorges) ที่นี่มีทัศนียภาพทางภูมิศาสตร์ที่สวยงามจนแทบลืมหายใจ โด่งดังติดหนึ่งในสิบของจีนเลยทีเดียว ประกอบไปด้วยช่องแคบชวีถัง (Qutang Gorge) ช่องแคบอู (Wu Gorge) ช่องแคบซีหลิง (Xiling Gorge) ยาวรวมกว่า 310 กิโลเมตรกันเล้ยย โดยเริ่มที่เมืองไป๋ตี้ (Baidi Cheng) ของมหานครฉงชิ่งทางตะวันตกของจีนไปจบที่หนานจินพาส (Nanjin Pass) ที่เมืองอี๋ชาง มณฑลหูเป่ยทางตะวันออกของจีนนั่นเองจร้า ยาวจริงอะไรจริงนะเนี่ย!!
ที่นี่สวยงามเข้าตาสำนักงานการท่องเที่ยวประเทศจีน (China National Tourism Administration) เข้าอย่างจังจนถูกจัดอันดับให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ 5A (AAAAA Scenic Area) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเล้ยย*0*
การล่องเรือในแม่น้ำแยงซีเกียงผ่านช่องแคบซานเสีย ไม่เพียงแต่จะได้เพลิดเพลินกับวิวหินผาแปลกตา ภูเขาโดดเด่นสูงตระหง่านไปตลอดทางที่เรือแล่นผ่านแล้ว แต่ยังจะได้ดื่มด่ำกับบทกวีที่จารึกบนโขดหินโดยนักปราชญ์สมัยโบราณอีกด้วย งานนี้เรียกได้ว่า ครบรสเลยหละกับความงามที่หลากหลาย และไร้ขอบเขตของธรรมชาติ ทั้งสวยสง่างามแบบช่องแคบชวีถัง และช่องแคบอู สวยอันตรายแบบช่องแคบซีหลิง หรือสวยแบบฉบับดั้งเดิมเรียบง่าย แต่ดูลึกลับน่าค้นหาของแม่น้ำต้าหนิง (Daning River) และลำธารเสินหนงซี (Shennong Xi) อ๊ะๆ อย่าเข้าใจผิดนะ กำลังพูดถึงภูเขา ไม่ใช่ผู้หญิงนะจ๊ะ>,< วิวที่เห็นดูเลิศเลอยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือจริงๆ กับภูมิประเทศที่มีเสน่ห์ยาวนานนับพันปีของพี่จีนเค้าจร้า
ลักษณะภูมิประเทศอันสวยงามไฮโซของบริเวณช่องแคบนี้ ทำให้เกิดเป็นวัฒนธรรมล้ำค่า และถือเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดทางอารยธรรมของประเทศจีนเลยทีเดียว อย่างวัฒนธรรมต้าซี (Daxi Culture) อันโด่งดังกว่า 5000-3300 ปีก่อนคริสตกาลอีกกกก
ว่ากันว่าเหล่านักรบผู้กล้ามากมายในสมัยสามก๊ก เคยใช้ที่นี่เป็นสนามรบอีกด้วยนะจ๊ะ สุดยอดดด ดูวิวไปก็มโนไปว่าเห็นภาพนักรบจีนสมัยก่อนอยู่ตรงมุมนั้นมุมนี้ของเขาเหมือนภาพในหนังยังไงยังงั้นเล้ยย
สายน้ำแห่งนี้ยังสามารถนำเราไปสู่สถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงฝุดๆ อีกหลายแห่ง เช่น วัดไป๋ตี้เฉิง (Baidecheng Temple) วัดเก่าแก่โบราณบนชายฝั่งทางเหนือของแม่น้ำแยงซีเกียง วัดหวงหลิง (Huangling Temple) หนึ่งในวัดที่เก่าแก่มากที่สุดในบริเวณช่องแคบซานเสีย และหนานจินพาส (Nanjin Pass) ประตูทางธรรมชาติของช่องแคบซานเสีย อยู่ปากทางตะวันออกของช่องแคบซานเสีย หรือปลายสุดของช่องแคบซีหลิงนั่นเอง
พิพิธภัณฑ์ช่องแคบซานเสีย (Three George Museum) ก็เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง มีการจัดแสดงวัฒนธรรมปา (Ba Culture) และพื้นที่ช่องแคบซานเสียจากเมืองฉงชิ่ง (Chongqing) ซึ่งเป็น 1 ใน 4 เมืองมหานครของประเทศจีนในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีจัดแสดงวิถีชีวิตของชาวฉงชิ่งในสมัยราชวงศ์ชิง (Qing Dynasty) อีกด้วยย งานนนี้เที่ยวแบบสวยๆ ไม่ไร้สาระนะจ๊ะบอกเลอ>,<
แม่น้ำแยงซีที่ไหลทอดยาวผ่านช่องแคบต่างๆ ในตะวันตกของมณฑลยูนนานนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำขนานสามสาย ของพื้นที่คุ้มครองในมณฑลยูนนาน และถูกจัดให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) อีกด้วยจร้า ดีงามมตามระเบียบ
อีกแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือเขื่อนซานเสีย (Three George Dam) ในลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงที่แสดงความก้าวหน้าถึงขีดสุดของพี่จีนในด้านวิศวกรรม เพราะเป็นเขื่อนอเนกประสงค์ที่ใหญ่สุดในโลกเลยล่ะจร้า ยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างของจริงตัวจริงเล้ยย พร้อมเที่ยวธรรมชาติแบบฟินๆ กันรึยังจ๊ะ อย่ารอช้าตามมาเที่ยวกันเลยน้ายูววว์
แม่น้ำหลีเจียง (Li River) ตั้งอยู่ในเมืองกุ้ยหลิน เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง (Guangxi Zhuang) เป็นอีกหนึ่งอัญมณีท่องเที่ยวยอดนิยมของจีน เป็นไฮไลท์สำหรับการมาเยือนเมืองกุ้ยหลินเลยทีเดียวจร้า ช่วงที่งามที่สุดของแม่น้ำหลีเจียงคือบริเวณลำน้ำระยะทางกว่า 83 กิโลเมตรจากเมืองกุ้ยหลินไปถึงเมืองหยางซัว (Yangshuo) จะเต็มไปด้วยรอยคลื่น หน้าผาสูงชัน ถ้ำที่มีความงามอย่างน่ามหัศจรรย์ เรือล่องแม่น้ำ และแพเรือทำด้วยไม้ไผ่ บรรยากาศเบาสบาย ผ่อนคลายสุดๆ นี่แหล่ะสวรรค์ของจริง
แม่น้ำหลีเจียงสามารถแบ่งออกตามลักษณะภูมิทัศน์ที่แตกต่างกันได้เป็น 3 ส่วนได้แก่ ช่วงกุ้ยหลินไปจนถึงช่องแคบออกซ์ (Ox Gorge) ทางชายฝั่งตะวันตกของแม่น้ำหลีเจียง ช่วงช่องแคบออกซ์ถึงหมู่บ้านน้ำหยด (Water-Dropping Village) และช่วงหมู่บ้านน้ำหยดถึงเมืองหยางซัว ซึ่งแต่ละส่วนก็จะมีวิวและสถานที่สวยงามชวนให้หลงใหล เพลินเพลิน ดีต่อใจได้ตลอดทางจริงๆ
แม่น้ำหลีเจียงขึ้นชื่อในเรื่องความงามเป็นเอกลักษณ์ ตลอดทางที่แล่นผ่านแม่น้ำสายนี้สวยราวกับภาพวาดในแกลลอรี่ ภาพน้ำตกจากผาสูงเขียวขจี หินผาที่ดูมีเสน่ห์ เนินเขาทับซ้อนกันไปมา และสะท้อนเป็นเงาอยู่ในน้ำที่ใสราวกับกระจก สวยเหมือนฝันจนเผลอนึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในเทพนิยายยังไงยังงั้นเลยค่า สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไผ่เขียว เป็ดว่ายน้ำมุ้งมิ้งในแม่น้ำ ชาวประมงตกปลาอย่างสงบนิ่ง ให้ความรู้สึกสโลว์ไลฟ์สุดๆ งานนี้การันตีว่าถูกใจคนรักธรรมชาติอย่างแน่นอนจ้ะ
นอกจากนี้ไฮไลท์ของที่นี่ยังรวมไปถึง จิ๋วหม่าฮว๋าซาน (Nine Horse Fresco Hill) เขาที่คล้ายมีม้า 9 ตัวอยู่บนนั้นในท่าทางต่างๆ และแผ่นหินสีเหลืองจำนวนมาก (Yellow Cloth Shoal) ในน้ำใสที่นิ่งสงบทำให้มองเห็นสีเหลืองของมันแบบชัดแจ๋วเลยล่ะ หรือจะเป็นเขาบนธนบัตร 20 หยวน (20-Yuan Bill Hill) เห็นแล้วก็อดไม่ได้ต้องหยิบแบงค์ 20 หยวนขึ้นมาแชะภาพเทียบกับเขาที่อยู่ตรงหน้ากับเขาด้วย และเมืองซิ่งผิง (Xingping Town) เมืองที่เราสามารถถ่ายรูปได้วิวสวยๆ กลับบ้านไปอย่างแน่นอน บอกเลยทริปนี้เลิศเลอมากจริงๆ
หากวางแผนมาเที่ยวช่วงเวลาที่ดีที่สุด คือเมษายนไปจนถึงตุลาคม แนะนำให้ล่องเรือจากเมืองกุ้ยหลินไปจนถึงเมืองหยางซัว ซึ่งใช้เวลาราวๆ 4 ชั่วโมง ดื่มด่ำกับวิวสองข้างทางจนจุใจเลยจร้า
นาขั้นบันไดหลงจี๋ (Longsheng Longji Rice Terraces) อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์สุดแปลกตา เรียกว่าสวยอันซีนแห่งหนึ่งของจีนหรืออาจจะของโลกเลยก็ว่าได้ ความงามจะท็อปอัพไปอีกเมื่อแสงแดดสะท้อนบนผืนน้ำของนาข้าว และจะยิ่งสวยยกกำลังขึ้นอีกเมื่อรวงข้าวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองในฤดูกาลเก็บเกี่ยว หลงจี๋หรือที่แปลว่าหลังมังกรนั้นสวย จนทำให้ลืมภาพนาข้าวในแบบเดิมๆ ที่เคยรู้จักไปเลยจริงๆ
ที่นี่ตั้งอยู่ที่เขตปกครองหลงเสิ้ง (Longsheng County) เมืองกุ้ยหลิน (Guilin) มณฑลกว่างซี (Guangxi Province) ห่างจากเมืองกุ้ยหลินประมาณ 95 กิโลเมตร ขับรถประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งจร้า นาขั้นบันไดหลงจี๋อยู่บนเนินเขามีเนื้อที่ประมาณ 66 ตารางกิโลเมตร ดูไปดูมาก็คล้ายๆ กับแถบผ้าที่ขดไปมามีลักษณะเป็นชั้นๆ ดูแปลกตาแต่ก็น่าหลงใหล งานดีฟีลกู๊ดดแบบนี้ต้องปรบมือรัวๆ ให้กับวิธีชลประทานที่ชาญฉลาดของจีน ทำให้เกิดการใช้พื้นที่เพาะปลูก และทรัพยากรน้ำที่หาได้ยากในพื้นที่ภูเขาได้ดีเยี่ยมเต็มที่นั่นเองจร้า
สำหรับแหล่งนาขั้นบันไดยอดนิยมติดโผมากับเค้า 2 ที่ด้วยกันได้แก่ บริเวณรอบๆ หมู่บ้านผิงอัน (Pingan Village) ซึ่งเป็นที่อยู่ของชาวจ้วง (Zhuang Minority) มีความเก่าแก่มากที่สุดและได้รับการพัฒนามามาก เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์ที่ทันสมัย เรียกว่าอยากจะได้ร้านอาหาร ที่พักดีๆ หรือการเดินทางที่สะดวกสบายก็ต้องมาที่นี่เล้ยย
หากมาถึงแล้วไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดเลยได้แก่ พระจันทร์และดวงดาวทั้งเจ็ด (Severn Stars Accompany the Moon) เป็นกองหินเจ็ดก้อนที่หลงเหลือไว้จากการพัฒนาพื้นที่ บริเวณนี้อยู่ท่ามกลางพระจันทร์ อื้ออหืออ แค่ชื่อก็น่าสนใจแล้วแต่พอเห็นของจริงต้องบอกว่าดีงามมไปอีกกก อีกหนึ่งไฮไลท์คือเก้ามังกรและห้าเสือ (Nine Dragons and Five Tigers) จินตนาการในการตั้งชื่อเกิดมาจากสันเขาเก้าสัน แตกสาขาออกมาจากสันเขาหลัก มองดูก็คล้ายกับมังกรเลื้อยขดไปมาพยายามจะไปกินน้ำจากแม่น้ำจินซา (Jinsha River) ด้านข้างก็มีโขดหินมโนว่าเป็นเสือห้าตัวนั่นเอง โอ้โหห!! ชื่อเพราะน่าฟังวิวก็งามระดับเทพ งานนี้ก็ฟินเฟร่ออกันยาวปายยสิค้า
แหล่งนาขั้นบันไดยอดนิยมอีกที่คือบริเวณจินเคิง (Jinkeng) บ้านของชาวเหยาแดง (Red Yao) ซึ่งอยู่ไกลออกไปอีก ที่นี่มีไฮไลท์ถึงสามจุดด้วยกันได้แก่ ดนตรีแห่งเขาตะวันตก (Xishan Shaoyue) เป็นจุดสูงสุดกับวิวแบบพาโนรามา ฮิตมากสำหรับการมาถ่ายรูปเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกจร้า กว่า 90%ของรูปถ่ายที่เห็นตามสื่อก็มาจากจุดนี้จ้า มาต่อกันที่ นาขั้นบันไดพันชั้นขนาดใหญ่ (Dajie Qianceng Titian) อยู่ค่อนข้างต่ำ เดินสะดวกและงานดีงานละเอียดเหมือนเดิม จากจุดนี้สามารถมองเห็นบ้านของชาวเหยาและดื่มด่ำบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นได้ด้วยเหมือนกันจร้า จุดสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือยอดพระสีทอง (Jinfo Ding) เป็นจุดที่ดีที่สุดที่จะมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินจร้า สามารถนั่งกระเช้าเคเบิลขึ้นไปบนยอดใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น เข้าทางจริงๆ จะได้เก็บแรงไว้ถ่ายรูปข้างบนสวยๆ คริคริ >,<
การมาที่นาขั้นบันไดหลงจี๋ นอกจากชมความงามของทิวทัศน์แจ่มๆ แบบนี้แล้ว ยังมีหมู่บ้านเก่าแก่โบราณอย่างผิงอัน ต้าจาย (Dazhai) หลงจี๋จ้วงโบราณ (Longji Ancient Zhuang Village) และหวงหลัวหงเหยา (Huangluo Red Yao Village) รวมถึงวัฒนธรรมชนเผ่าพื้นเมือง ให้ได้มาสัมผัสเปิดหูเปิดตาอีกด้วยจร้า ทริปดีต่อใจเบอร์นี้ ขอติดว้าวให้รัวๆ ไปเลยคร่า
เดอะบันด์ หรือหาดไว่ทาน (Waitan) จัดว่าเป็นไฮไลท์สำคัญในการมาเยือนเซี่ยงไฮ้เลยก็ว่าได้ มีชื่อเป็นหาดก็จริง แต่ที่นี่ไม่ใช่ชายทะเลนะคะ เป็นทางเดินเลียบแม่น้ำแสนโรแมนติก มีความยาวประมาณ 1.5 กิโลเมตร รอบๆ เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปอันงดงาม และอาคารบ้านเรือนเก่าแก่กว่าร้อยปี ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้อย่างดีเยี่ยมมากๆ จึงได้ฉายาว่าเป็นปารีสแห่งตะวันออก ที่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็สวยไปหมด *0* ตึกนั้นก็งาม ตึกนี้ก็เลิศ อู๊ยยย กดชัตเตอร์กันรัวๆ เลยจ้า
นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของเซี่ยงไฮ้ เป็นที่ตั้งของสถานทูตแต่ละประเทศ ธนาคาร โรงแรม สำนักหนังสือพิมพ์ และบริษัทใหญ่ๆ รวมถึงร้านอาหารภัตตาคารหรูหราและสินค้าแบรนด์เนมมากมาย และที่นี่ยังใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์อันโด่งดังเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้อีกด้วยนะค้า จึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อหาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้นั่นเอง พอเริ่มค่ำก็จะมีการเปิดไฟตามตึกต่างๆ แสงไฟสะท้อนไปทั่ว บวกกับวิวของแม่น้ำ ขอบอกว่าสวยมากกกกกก ถ้าไม่เกรงใจจะพิมพ์ ก.ไก่ให้ยาวกว่านี้อีกนะคะเนี่ย อิอิ ถือเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของเซี่ยงไฮ้เลยค่ะ ใครไม่ได้มาที่นี่ถือว่าพลาดมาก!
เทือกเขาหวงซาน (The Yellow Mountains) หรือภูเขาเหลือง ตั้งอยู่ในมณฑลอันฮุย (Anhui Province) ทางตะวันออกของจีนเป็น 1 ใน 10 จุดชมวิวที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศจีน ได้รับเลือกให้เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกๆ ของประเทศจีน ได้รับยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ และได้รับเลือกเป็นอุทยานทางธรณีวิทยาระดับโลกอีกด้วย โอ้โห!! ประกาศเกียรติคุณเพียบบ ความเด็ดอยู่ที่ 4 สิ่งมหัศจรรย์ได้แก่ ต้นสนแข็งแรงสีเขียวชอุ่ม หินรูปร่างประหลาดซึ่งมักจะมีชื่อเรียกของตัวเองอีกด้วยย เช่น พระกินแตงโม (Pig-Headed Monk Eating Watermelon) ทะเลหมอก และบ่อน้ำพุร้อนใสเหมือนแก้ว ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามาทำให้ที่นี่ปังสุดๆ ไปเล้ยยย
ไม่ให้เสียเวลาไปจุดชมวิวสวยๆ เน้นๆ กันมีดังนี้จร้า เริ่มที่ยอดแสงสว่าง (Bright Summit Peak) ด้วยความสูง กว้างและ สามารถมองเห็นรังสีดวงอาทิตย์ได้ชัดแจ๋วจึงถูกเรียกแบบนี้ ตรงจุดนี้มีลักษณะแบบที่ราบบนเทือกเขาหวงซาน ทำให้สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและดูทะเลหมอกไปด้วยได้ วิวที่เห็นไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเลิศเลอเพอร์เฟคสุดๆ จัดเป็นจุดที่สูงเป็นอันดับสองบนเทือกเขาแห่งนี้เลยทีเดียวตั้งอยู่ตอนกลางของเทือกเขาประมาณ 1,860 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และเป็น 1 ใน 3 ยอดสูงหลักๆ ของเทือกเขาหวงซานเลยจร้า หลังจากยืนนิ่งๆ ดื่มด่ำบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกแบบพาโนรามา แล้วก็ไปลุยกันต่อจุดต่อไปคร่า
ยอดดอกบัว (Lotus Peak) ตั้งอยู่ตอนกลางของเทือกเขา สูง 1,864 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ถือเป็นจุดสูงที่สุดของเขาหวงซานเลยจร้า และสูงเป็นอันดับ 3 ของจีนฝั่งตะวันออกเลยทีเดียว หนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ของที่นี่คือโซ่เหล็กที่ถูกแขวนไว้รอบๆ ยอดเขาและมีกุญแจแขวนอยู่เพียบ แสดงถึงการผูกหัวใจของหนุ่มสาวเอาไว้ด้วยกันตลอดไป เหลือบซ้ายแลขวาเห็นคู่รักจูงมือคล้องกุญแจกันใหญ่ โรแมนติกจุง แต่ใช่มีแต่คู่รักนะ คนที่คล้องกุญแจให้ครอบครัว ให้ลูกก็มีจร้า ความน่าสนใจอยู่ที่กุญแจแต่ละอันนั้น มาจากหลากหลายประเทศนะจ๊ะ มีความอินเตอร์เบาๆ คร่า
มาต่อที่ หินบินได้ (Flying Stone) อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของยอดแสงสว่าง ซึ่งมีปริมาณหินหนาแน่นประมาณ 30% ของเทือกเขาหวงซานกันเลย อยู่สูง 1,730 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และเมื่อมองจากทางใต้ขึ้นไปทางเหนือจะเห็นหินคล้ายลูกพีชขนาดใหญ่ เรียกกันว่าหินเซียนเถา (Xiantao stone) 2 ก้อนอยู่ในลักษณะวางตัวแนวเดียวกัน แทบจะเหมือนกัน แต่มีช่องว่างระหว่างกันเพียงนิดเดียวมองไปมองมาคล้ายกับว่าหินก้อนบนกำลังลอยบินอยู่นั่นเอง หยีตามองอยู่สักพักก็เริ่มอิน เหมือนหินบินได้จริงอะไรจริงนะเนี่ย
อีกหนึ่งเสน่ห์ของเทือกเขาหวงซานที่ต้องมาชมคือแกรนด์แคนยอนทะเลทางฝั่งตะวันตก (West Sea Grand Canyon) หรือหุบเขาเมฆขาว (White Cloud Valley) มีความยาวประมาณ 15 กิโลเมตร บรรยากาศเงียบสงบ สวยเลิศสุดๆ ดีต่อใจอีกล๊าววว
จุดสุดท้ายกับอีกวิวแปลกตาที่ศาลาไล่เมฆ (Dispelling Cloud Pavilion) ตั้งอยู่ที่ประตูทางตะวันตกของเทือกเขาหวงซาน เป็นพื้นที่ศาลาทำด้วยหินแกรนิต กว้าง 5 เมตร สูง 5 เมตรบนพื้นที่ 20 ตารางเมตร มีพื้นที่หน้าศาลาประมาณ 70 ตารางเมตร มีหุบเขาลึกกว้างมองเห็นได้รอบ สามารถเพลิดเพลินกับบรรดาหินหายากต่างๆ ของที่นี่ถึงกับเคยมีคนบอกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์หินหายาก (Rare Stone Exhibition Hall) เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีวิวคล้ายเป็นป่าสันเขา มียอดเขาเป็นชั้นๆ ยิ่งเวลาเมฆเคลื่อนตัวโฉบไปมาคล้ายๆ กับมีเกาะมากมายท่ามกลางทะเลยังไงยังงั้น เป็นอีกหนึ่งที่ที่สามารถชมความงามของเทือกเขาหวงซานได้แบบเต็มอิ่ม จุใจ ปั๊วะปังสวยงามสมคำร่ำลือจริงๆ ที่นี่เค้าเปิดวันอาทิตย์ถึงวันศุกร์ เวลา 6:30น.-16:30น.วันเสาร์เวลา 6:00น.-16:30น. จร้า รีบแพคกระเป๋ามาว้าวววที่นี่กันนะจ๊ะ
บ้านดินถู่โหลวหนานจิ้ง (Nanjing Tulou Hakka Houses) พบในบริเวณเทือกเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลฝูเจี้ยน (Fujian Province) ติดกับทางกวางตง (Guangdong) บริเวณตอนใต้ของประเทศจีน ถู่โหลว (Tulou) หรืออาคารดินเป็นสถาปัตยกรรมแบบฮากกาที่มีเอกลักษณ์และมีเสน่ห์ดูลึกลับน่าค้นหา เป็นอาคารที่มักล้อมรอบด้วยกำแพงดินโครงร่างสี่เหลี่ยมหรือวงกลมหนาประมาณ 182 เซนติเมตร
เป็นโครงสร้างไม้ สูง 3-5 ชั้น ปัจจุบันมีกว่า 80 ครอบครัว มีทางเข้าเพียงแค่ 1 ทาง โดยมีประตูทำจากไม้หนา 4-5 นิ้วเสริมด้วยแผ่นเหล็กด้านนอก ด้านบนสุดของถู่โหลวนี้ มีรูปืนเอาไว้ใช้เพื่อป้องกันการโจรกรรม ความมหัศจรรย์เกี่ยวกับถู่โหลวนี้คือบางส่วนของกำแพงดินที่ล้อมรอบอยู่มีอายุมากถึง 700 ปี! เรียกว่าอยู่รอดปลอดภัยผ่านภัยธรรมชาติรวมถึงแผ่นดินไหวกันมาล๊าววว ปัจจุบันมีถู่โหลวมากกว่า 20,000 หลังที่พบในทางใต้ของประเทศจีนเลยล่ะจร้า
ช่วงปลายรัชสมัยซ่ง (Song Dynasty) ชาวฮั่นเริ่มตั้งถิ่นฐานและสร้างถู่โหลว จนกลายมาเป็นสัญลักษณ์สามัญมากๆ ที่เจอได้ในหนานจิง ถู่โหลวในหนานจิงนั้นพบมากในเมืองซูหยาง (Shuyang) เหมยหลิน (Meilin) ฉวันฉ่าง (Chuangchang) หนานเคิง (Nankeng) คุ่ยหยาง (Kuiyang) และเห๋อซี (Hexi) ซึ่งเชื่อมต่อกันตลอดแม่น้ำจิ่วหลง (Jiulong River) มรดกถู่โหลวนี้แสดงถึงความเลอค่าทางศิลปะประเพณีด้านสถาปัตยกรรมแบบจีน นอกจากนี้ถู่โหลวในเมืองหนานจิง ยังถือเป็นแบบจำลองทางวัตถุในวัฒนธรรมเชิงอุดมคติแบบดั้งเดิมของอารยธรรมจีนอีกด้วยล่ะจ้า
เถียนหลัวเคิง (Tian Luo Keng) หรือหลุมหอยทาก ในเมืองซูหยาง เขตปกครองหนานจิง ประกอบไปด้วยอาคารดินแบบสี่เหลี่ยมอยู่ใจกลางล้อมรอบด้วยอาคารดินทรงกลม หรืออาคารดินทรงกลม 3 หลัง กับอีกหนึ่งอาคารดินรูปวงรี ที่มีชื่อว่า จานสี่ใบกับหนึ่งน้ำซุป (Four Dishes with a Soup)
จริงๆ แล้วคนที่อยู่อาศัยบริเวณนี้เป็นชาวฮากกา ส่วนใหญ่เป็นชาวนา ฐานะยากจน ส่วนคนรุ่นหนุ่มสาวก็มักจะออกจากเมืองไปหางานทำในเมืองใหญ่ คนฮากกาส่วนใหญ่เป็นคนใจดี อัธยาศัยน่าร๊อคคค หากใครวางแผนจะมาที่นี่ ก็มาได้ตลอดแต่ให้ดีก็ช่วงฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วงจร้า ใครที่ชอบสถาปัตยกรรมแปลกตาไม่เหมือนที่ไหนในโลกต้องมาให้ได้นะจ๊ะ
พระใหญ่หลิงซานต้าฝอ (Lingshan Grand Buddha) ในเมืองอู๋ซี (Wuxi) จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวประจำชาติระดับสูงสุดที่ 5A (National AAAAA Tourist Attraction) เลยทีเดียว และยังเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก สูงกว่าพระใหญ่เล่อซานในเสฉวนกว่า 17 เมตร พระใหญ่หลิงซานต้าฝอเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองอู๋ซี ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทะเลสาบไท่หู (Taihu Lake) ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีฉายาว่าหลิงซานน้อย ซึ่งมาจากพระซวนจาง (Xuanzang) พระที่มีชื่อเสียงในช่วงต้นราชวงศ์ถัง (Tang Dynasty) ผู้เชื่อมเอาความเป็นจีนและอินเดียเข้าไว้ด้วยกัน พระใหญ่หลิงซานต้าฝอเป็นพระศากยมุนีทองสัมฤทธ์สูง 88 เมตร มีฐานดอกบัวขนาด 9 เมตร โอบล้อมไปด้วยภูเขา 3 ลูก หันหน้าไปทางทะเลสาบไท่หู ใบหน้าขององค์พระมีลักษณะยิ้ม มองดูคล้ายคอยดูแลปกป้องประชาชนของท่าน
การก่อสร้างพระใหญ่นั้นเป็นความคิดริเริ่มของ จ้าวผู่ชู (Zhao Puchu) อดีตประธานสมาคมพุทธศาสนาแห่งประเทศจีน กับไอเดียห้าพระพุทธรูปอันยิ่งใหญ่ในห้าทิศของจีนซึ่งมีอิทธิพลอย่างยิ่งในการพัฒนาพุทธศาสนาของจีนในปัจจุบัน นั่นก็คือเราสามารถชมพระใหญ่หลิงซานต้าฝอทางจีนตะวันออก พระใหญ่เทียนถาน (Tian Tan Buddha) ทางใต้ของจีนในฮ่องกง พระใหญ่เล่อซาน (Leshan Giant Buddha) ทางตะวันตกของจีน พระใหญ่อวิ๋นกัง (Yungang Grand Buddha) ทางตอนเหนือของจีน และพระใหญ่หลงเหมิน (Longmen Graend Buddha) ทางตอนกลางของจีนนั่นเองจร้า
มาเที่ยวที่นี่ไม่เพียงแค่ได้ดูพระใหญ่หลิงซานต้าฝอเท่านั้นนะ ยังมีจุดท่องเที่ยวจุดอื่นให้ได้ชมอีกด้วยจร้า อย่างเช่น จิ่วหลงกว้านอวี้ (Nine Dragons Bathing Shakyamuni) ซึ่งจะมีดนตรีทางพุทธศาสนาบรรเลงประกอบกับดอกบัว 6 ใบกำลังบาน และพระพุทธรูปสีทองขนาด 7.2 เมตร หัตถ์ข้างนึงชี้ขึ้นบน หัตถ์ข้างนึงชี้ลงพื้น มังกรทั้งเก้าพ่นน้ำสูงถึง 10 เมตรไปที่พระพุทธรูป ยิ่งเวลามีสายรุ้งด้วยแล้ว งามอย่าบอกใครเลยล่ะ>,<
วังกบิลพัสดุ์จำลอง (Brahma Buddha) อยู่ทางตีนเขาหลิงซาน ด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยดีงามมว๊ากๆ มีรูปแบบที่ดูกลมกลืน เสาระเบียงสูง ห้องโถงขนาดใหญ่ สามารถนำเสนอพุทธศาสนาที่ลึกซึ้งด้วยการผสมผสานองค์ประกอบทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมเข้ากับคุณลักษณะที่ทันสมัย เมื่อเข้ามาภายในวังต้องปรบมือรัวๆ ให้กับการแกะสลักไม้ตงหยาง (Dongyang Woodcarving) จิตรกรรมฝาผนังที่ดูสวยตระการตาของจิตรกรที่มีชื่อเสียงของตุนฮวง (Dunhuang) ภาพสีน้ำมันขนาดใหญ่ โคมไฟสวยแปลกตาและสมบัติล้ำค่าอีกมากมายภายในนี้ อิ่มตาอิ่มใจฝุดๆ ที่นี่เปิดปิดเวลา 09:00น. – 18:00น.จร้า
นอกจากนี้ยังมีอู่อิ้งถานเฉิง (Five Mudra Mandala) หลังคาสีทอง ตู้กระจกเคลือบทองขนาดใหญ่ ธงสวดมนต์สุดประทับใจ เหล่านี้เป็นสิ่งที่จะได้เห็นจากอู่อิ้งถานเฉิงที่มีเอกลักษณ์ด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ทิเบต สวยละมุนทุกมุมจริงๆ ที่นี่เปิดปิดเวลา 09:30น. – 18:00น. นะจ๊ะ
สุดท้ายไม่พูดถึงเลยไม่ได้คือฝอโส่วกว๋างฉ่าง (Buddha’s hand Square) ด้านขวาจะเจอกับพระศรีอริยเมตไตรย์ที่มีเด็กกว่า 100 คนเล่นอยู่บนร่างขององค์พระ ส่วนทางด้านซ้ายของที่นี่เป็นหัตถ์ของพระพุทธเจ้าที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในโลกจร้า ขนาดสูง 11.7 เมตรกว้าง 5.5 เมตร คำว่าหัตถ์พระพุทธเจ้าในภาษาจีนนั้นจะพ้องเสียงกับคำในภาษาจีนที่แปลว่าอายุยืนยาวโชคดีอีกด้วย ไม่รอช้างานนี้เลยขอสัมผัสกับเค้าด้วยคนจร้า สาธุ >,< ใครจะมาที่พระใหญ่หลิงซานต้าฝอเค้าเปิดปิดเวลา 07:00น.-17:30น. นะ เป็นทริปเสริมสิริมงคลกันสุดๆ ไปเลย
น้ำตกเต๋อเทียน (Detian Waterfall) เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นน้ำตกข้ามชาติที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก!! น้ำตกเต๋อเทียนตั้งอยู่ในเขตปกครองต้าซิน (Daxin County) เมืองฉงจั่ว (Chongzuo City) เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง (Guangxi Zhuang) นี่เอง ตั้งอยู่ที่ทางต้นน้ำของแม่น้ำกุยชุนเหอ (Guichunhe River) ในต้าซิน ประมาณ 50 เมตรจากเขตแดนที่ 53 ระหว่างจีนและเวียดนาม โดยแม่น้ำกุยชุนเหอเป็นแม่น้ำสายย่อยของแม่น้ำจั่วเจียง (Zuojiang River) และเป็นแม่น้ำที่แบ่งเขตแดนระหว่างจีน และเวียดนามอีกด้วยนะจ๊ะ ความไฮโซของแม่น้ำเต๋อเทียนคือ มีความกว้างถึง 200 เมตร ลึกมากกว่า 60 เมตร และสูงถึง 70 เมตร การไหลเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 50 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ไม่ต้องบรรยายมาก บอกคำเดียวว่า วิวเทพเวอร์>,<
น้ำตกเต๋อเทียนมีความกว้างกว่า 200 เมตร และสูงกว่า 70 เมตร โดยมันจะตกลงมาอย่างแร้งงงส์ ผ่านหน้าผาถึงสามชั้น เวลากระแสน้ำตกลงมาดูแล้ว ให้อารมณ์น่าเกรงขามสุดๆ เราจะได้ยินเสียงการตกของน้ำก่อนที่จะเห็นกระแสน้ำซะอีก คือแบบเพลิดเพลินกันเลยจริงๆ จ้า
วิวที่นี่ในแต่ละฤดูก็เริ่ดเลอกันคนละแบบนะจ๊ะ หากมาช่วงฤดูใบไม้ผลิจะเห็นวิวสีแดงสะพรั่งของต้นนุ่น (Kapok Tree) ที่ล้อมรอบบริเวณน้ำตก และเชื่อว่ามันสื่อถึงการประสบความสำเร็จอีกด้วยนะจ๊ะ หรือหากมาช่วงฤดูใบไม้ร่วงจากต้นไม้สีแดงก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองจร้า เป็นภาพประทับใจมว๊ากกกๆ หากมาช่วงฤดูร้อนก็จะเห็นเป็นภาพน้ำตกปริมาณมหาศาลไหลทะลักลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลกให้ฟีลบับอิสระ ปลดปล่อย คือดีดี๊อ่ะ ส่วนถ้ามาในฤดูหนาวกลับกันนะจ๊ะ น้ำตกจะดูใส๊ใสไหลแบบช้าๆ สงบ ผ่อนคลาย เบาสบาย ฟินไม่รู้จบจิงๆ อย่างนี้สิที่เค้าเรียกว่าผลงานสร้างสรรค์จากธรรมชาติอย่างแท้จริง
ความงามของที่นี่ นอกจากเปลี่ยนแปลงตามฤดูแล้ว ในแต่ละช่วงเวลาในหนึ่งวันของเค้าก็ไม่เหมือนกันด้วยนะ อย่างเช่นตอนเช้าน้ำตกจะเป็นสีเงิน และจะกระทบกันหุบเขาเกิดเป็นละอองน้ำจำนวนมาก มองดูคล้ายกับหมอกบนภูเขา และเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก แสงของพระอาทิตย์ก็จะกระทบกับหมอกเกิดเป็นแบ็กกราวด์สายรุ้งให้เห็นดีงามจริงๆ บรรยากาศตอนเที่ยงจะมีพระอาทิตย์ส่องสว่างเต็มที่ หน้าผากว้างขนาดหลายร้อยเมตร บวกกับน้ำตกปริมาณมหาศาลอย่างกับทะเลย่อมๆ ตกลงมาบนความสูงหลายสิบเมตร เกิดเป็นเสียงดังกึกก้องได้ยินมาแต่ไกลเลยจร้า และหากเป็นยามเย็นจะเห็นภาพของน้ำตกสูงสีเงินเหมือนกับผ้าม่านทำจากไหมสีเงิน พระอาทิตย์คล้ายกับแขวนอยู่เหนือน้ำตกเพียงเล็กน้อยให้แสงสีส้มสะท้อนเป็นประกายอยู่หน้าน้ำตก ฟินเกินร้อย
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการมาเที่ยวคือช่วงเมษายนไปจนถึงพฤศจิกายนเพราะเป็นช่วงที่สวยพีคสุดๆ จร้า หากมาช่วงอื่นน้ำอาจมีปริมาณน้อยลงนิดนึง เหลาจบล๊าวววค่า สเต็ปต่อไปก็ถึงเวลากดคลิ๊กๆ จองตั๋วเครื่องบินบินตามมาเที่ยวนะค้ายูวว์